Nikko 2 วัน 1 คืน ครบทั้งโซนมรดกโลก-น้ำตก ไม่ไกลโตเกียว

Published by graceiya on

Nikko … ใครไม่โก้ นิกโก้ โอ้โห แค่ชื่อก็โก้แล้ววว แถมใกล้โตเกียวเวอร์

ใครมีแพลนไปเที่ยวโตเกียว และมีเวลาเหลือสักวันสองวัน อยากให้ไปสัมผัสธรรมชาติที่ ” Nikko  (นิกโก้) “ กันเลยค่ะ เป็นอีกหนึ่งเมืองที่อยู่ไม่ไกลจากโตเกียวเลย บรรยากาศที่ Nikko เนี่ย Nippon สุดๆ อยากรู้ว่านิกโก้มีอะไร ทำไมทำให้เราหลงรักได้ขนาดนี้ กดรับชมวิดีโอกันก่อน หรือจะอ่านรายละเอียดต่างๆ ก็ตามมากันได้เลย Let’s gogo~

Tokyo-Nikko

เมือง “นิกโก้” ตั้งอยู่ในจังหวัดโทะชิงิ อยู่ห่างจากโตเกียวไปทางทิศเหนือ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่นักท่องเที่ยวนิยมมาเยือนทั้งชาวต่างชาติและชาวญี่ปุ่นเอง เป็นแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติที่จัดว่ายอดเยี่ยม อีกทั้งยังมีวัดเก่าแก่ที่ถูกได้รับว่าเป็น มรดกโลก!! อีกด้วยนะเออ

น่าสนใจเข้าแล้วหละสิ บอกเลยว่าห้ามพลาด! เพราะ Nikko (นิกโก้)เที่ยวง่าย โดยเฉพาะการใช้ Pass เที่ยว คุ้มมาก จ่ายเพียง 4,520 เยน หรือประมาณ 1,000 กว่าบาทเท่านั้น เรามาเที่ยว 2 วัน 1 คืนเที่ยวได้ครบทั้งโซนมรดกโลกและโซนน้ำตกเลย ก่อนอื่นมาดู Pass และการเดินทางมาเยือนที่นี่กันก่อน

ตั๋วเที่ยวนิกโก้สุดคุ้ม

สำหรับ Pass เที่ยวเมืองนิกโก้มี 2 ประเภทได้แก่ NIKKO PASS all area และ NIKKO PASS world heritage area เป็นตั๋วที่รวมราคารถไฟไป-กลับ(Round Trip)  และรวมถึงการเดินทางฟรีโดยรถประจำทางบริเวณพื้นที่ที่กำหนดของบัตรแบบไม่จำกัดรอบอีกด้วย ข้อแตกต่างจะอยู่ที่ราคา พื้นที่ที่ไป ส่วนลดในสถานที่ต่างๆ และจำนวนวัน

เที่ยวนิกโก้

ส่วนเราได้ซื้อเป็น NIKKO PASS all area  ราคา 4,520 เยน ใช้ได้ 4 วัน 3 คืน เหมาะแก่คนที่สนใจและมีเวลาไปเที่ยวโซนน้ำตกเพราะต้องใช้เวลาในการเดินทางพอสมควร Pass นี้ครอบคลุมการเดินทางโดยรถบัสทั้งหมด ถือว่าคุ้มมากๆได้สัมผัสธรรมชาติอย่างเต็มอิ่ม

เที่ยว Nikko

เราซื้อตั๋วที่ TOBU Tourist Information Center สถานีอาซากุสะ เข้าไปด้านในจะมีเจ้าหน้าให้คำแนะนำ และที่สำคัญมีเจ้าหน้าที่เป็นคนไทยด้วย พี่เขาอธิบายการเดินทางให้อย่างดีเลย ถ้าดูตารางรถไฟเองอาจจะงงๆ พี่เขาก็อธิบายจนรู้เรื่องเลย ซื้อเสร็จก็เก็บตั๋วไว้ยื่นในวันเดินทาง และก็อย่าลืมหยิบตารางรถไฟที่เป็นแผ่นพับมาด้วย ขึ้นรถไฟเวลาไหน ลงสถานีอะไรต่อที่ไหนจะได้ไม่มีหลง

ใครพักย่านนี้หรือสะดวกเดินทางมา สามารถมาซื้อ Pass ได้ทุกวันในเวลาทำการ 7.20น. – 19.00น. ส่วนใครไม่สะดวก ตั๋วสำหรับเที่ยวนิกโก้ยังมีวางจำหน่ายที่สถานีอื่นๆ หรือสั่งซื้อทางออนไลน์ก็ยังได้ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ http://www.tobu.co.jp/foreign/th/pass/ เป็นเว็บไซต์ของทางรถไฟเลยมีภาษาไทยด้วย

นั่งรถไฟไปเที่ยวนิกโก้ จากสถานีอาซากุสะ

ตั๋วที่ซื้อไว้แล้ว เมื่อมาถึงสถานีอาซากุสะ ขึ้นบันไดเลื่อนมาตรงทางเข้า ให้เรานำบัตรมายื่นให้เจ้าหน้าที่ปั้มตั๋วก่อน จากนั้นก็ไปยืนรอรถไฟได้เลย รถไฟที่นั่งเป็นรถไฟสาย Tōbu Nikkō Line เป็นรถไฟสายตรงไปยังนิกโก้ ถือว่าเป็นวิธีที่สะดวกเป็นอย่างยิ่ง

Nikko_001

บรรยากาศในตอนเช้าค่ะ ตั้งใจจะขึ้นรถไฟรอบแรกเลย

Nikko_002

รอบแรกเวลา 6:40 รถไฟจะมาแล้ว อ่านภาษาญี่ปุ่นไม่ออก ก็สังเกตจากเวลารอบรถไฟที่เราจะขึ้น เพื่อนๆวางแผนเที่ยวรอบไหน ต้องการไปถึงนิกโก้กี่โมงให้เช็คจากตารางรถไฟให้ดี บางรอบก็มีขบวนที่นั่งยาวถึงนิกโก้เลยและบางรอบก็ต้องต่อขบวน

Nikko_003

ยืนรอรถไฟ~ ง่วงก็ง่วง ตื่นเต้นก็ตื่นเต้น ตั้งใจจะไปรอบเช้าสุดที่ไม่ต้องต่อขบวน แต่เบลอๆมึนๆ รถไฟมาจอดต่อหน้าแล้ว แต่ดันไม่ได้ขึ้นเพราะคิดว่าไม่ใช่! พอถึงเวลาปุ้ปรถไฟออกปั้บ ยืนงงนิดๆ ถึงรู้ตัวว่าตกรถไฟจ้าาา!

ก็ไปหาที่นั่งรอในสถานี ถึงจะขึ้นรถไฟที่ต้องต่อหลายขบวน แต่ถ้าดูตามชื่อสถานีที่ต้องเปลี่ยนตามตารางรถไฟที่ได้มาไม่มีหลงแน่นอนค่ะ หรือให้มั่นใจสามารถถามเจ้าหน้าที่ใกล้เคียงบริเวณนั้นได้เลย คนญี่ปุ่นใจดี

Nikko_005

คู่นี้คนหนึ่งเป็นชาวต่างชาติ อีกคนหนึ่งน่าจะเป็นไกด์ค่ะ ขึ้นมาจากสถานีเดียวกับเรา ก็เลยคิดว่าเขาต้องไปเที่ยวนิกโก้แน่ๆเลย 555555 แล้วก็เป็นแบบนั้นจริงๆ อิอิ

Nikko_006

เปลี่ยนมาสามขบวนแล้วค่ะนี่คือขบวนสุดท้ายที่ปลายทางคือนิกโก้ ดีใจสุดๆ ตื่นเต้นตลอดทางเลยก็ว่าได้

Nikko_007

ก็ดูสิคะตลอดข้างทาง เขียวขจี ธรรมชาติสุดๆ

Nikko_008

ถึงแล้วๆ  แม้จะพลาดขบวนเช้าสุดไป แต่ก็เลทจากที่ตั้งใจไว้แค่ 1 ชั่วโมง ลงรถไฟมาเนี่ยโอ้โห อากาศเป็นใจ เย็นสบาย ยินดีต้อนรับสุดๆ ว่าแล้วก็รีบเอาของไปเก็บที่พักแล้วไปเที่ยวกันเลยดีกว่า เราพักที่ Stay Nikko Guest House มีรีวิวไว้แล้วสำหรับที่พักในญี่ปุ่นนะคะ ไปตามกันได้ ที่นี่ดีมากๆๆๆ แนะนำเลยถ้าใครมาเที่ยวนิกโก้

DAY 1 : โซน“มรดกโลก”

ตั๋วที่ซื้อมาเราสามารถนั่งรถเมล์เพื่อไปยังสถานที่เที่ยวต่างๆได้หมดเลย แต่เนื่องจากแหล่งท่องเที่ยวเป็นที่นิยมในช่วงกลางวันรถค่อนข้างติด เราจึงตัดสินใจเดินเท้าไปเรื่อยๆ เพื่อเยี่ยมชมเมือง เราสามารถเดินเป็นกิโลเลย เดินยาวไปๆ เพราะอากาศดีมาก ฟ้าเปิดสดใส เย็นๆสบาย

Nikko_009

ต้องบอกโชคดีมาก เพราะ 2-3 วันก่อน ญี่ปุ่นพายุเข้าฝนตกทั้งวัน ตอนนี้พายุไปแล้ว ท้องฟ้าแจ่มใสและอากาศเย็นกำลังดี

Nikko_010

ระหว่างทาง ก็ขอแวะเติมพลังกันก่อนค่ะ ข้างทางจะมีร้านค้า และร้านอาหารอยู่ตลอด เราเลือกแวะร้านนี้ค่ะ ดูคนเยอะและน่าเข้า ร้านอาหารเล็กๆนี้ มีชื่อว่า  “Hippari-Dako” พนักงานต้อนรับดี รสชาติใช้ได้ บรรยากาศอบอุ่น

Nikko_041

ตอนอยู่ในร้านอาหาร ก็วางแผนเที่ยวกันสดๆเลย กางแผนที่ที่ได้จากที่พัก เป็นแผนที่ที่น่ารักที่สุด เพราะพี่เจ้าของที่พักเขียนด้วยลายมือตัวเองทุกแผ่นเลยค่ะ บอกสถานที่เที่ยวสำคัญ และเวลาเปิดปิดของสถานที่นั้นๆ เข้าใจง่ายดีด้วยค่ะ

จุด 1 : สะพานแดงชินเคียว

การเดินทางมาจากสถานีรถไฟ สะพานแดงจะอยู่ด้านซ้ายมือ ก่อนถึงทางสามแยกค่ะ หาไม่ยากเลย สวยโดดเด่นมาแต่ไกล ใครๆก็มาถ่ายรูปกัน รวมถึงเราด้วย 555555

Nikko_011

สะพานแดงชินเคียวถือเป็นแลนมาร์คของที่นี่เลยก็ว่าได้ จากที่เคยเห็นรูปในเน็ตสวยงาม เข้าไปยืนในสะพานถ่ายรูปเก๋ๆ พอวันที่เราไปถึงพึ่งรู้ว่าเสียค่าเข้า 300 เยนด้วย เราก็เลยไม่เข้า 55555 ยืนถ่ายรูปอยู่ไกลๆ ไกลเนอะ แต่ของจริงใหญ่และสวยมากจริงๆ

เวลาทำการ – เปิดทุกวัน

  • 8.00 ถึง 17.00 (เมษายน – กันยายน)
  • 8.00 – 16.00 น. (ตุลาคมถึงกลางเดือนพฤศจิกายน)
  • 9. 00-16. 00 (กลางเดือนพฤศจิกายนถึงมีนาคม)

จุด 2 : ศาลเจ้านิกโกะโทโชกุ

วัดในนิกโก้มีเยอะมาก ส่วนมากจะเสียค่าเข้าราคาอยู่ที่ 200 เยน, 300เยน เราจึงตัดสินใจไปแค่วัดเดียวนั่นก็คือ ศาลเจ้านิกโกะโทโชกุ ที่เป็นที่มีชื่อเสียงและได้รับเป็นมรดกโลก ที่มีค่าเข้าถึง 1,250 เยน/คน เจ็บแต่จบเพราะวัดนี้วัดเดียวก็ใหญ่มาก!! (คนก็เยอะมากเช่นกัน)

Nikko_012

เราใช้วิธีการเดินอีกเช่นเคย ตรงทางสามแยกตรงข้ามสะพานแดงชินเคียว จะมีทางขึ้นไปโซนวัด เป็นบันไดที่สองฝั่งเต็มไปด้วยต้นไม้ ป่าไม้ ร่มรื่นมากๆ

Nikko_016

เดินไปสุดจะเป็นทางลาดด้านบนเริ่มเป็นสถานีที่เที่ยว เดินชมได้เพลินๆเลยค่ะ แต่ถ้าใครจะขึ้นไปโซนวัดหรือไปศาลเจ้านิกโกะโทโชกุ  ก็มีรถเมล์สาย World Heritage Bus ลงป้าย Omotesando ได้ค่ะ

Nikko_014

ระหว่างทาง เราเจอกำแพงไม่แน่ใจว่าเป็นบ้านเรือนหรือสถานที่อะไรนะ มองลอดช่องเข้าไปพอดี เห็นแล้ววนึกถึงการ์ตูนเรื่อง อิคิวซัง ทำให้หวนคิดถึงตอนเด็กๆที่ดูการ์ตูนญี่ปุ่นเลย 55555

Nikko_015

เดินไปถ่ายรูปไปก็เพลินๆดีค่ะ แวะถ่ายรูปข้างทางตลอด เหนื่อยก็นั่งพัก ที่นี่ร่มรื่นจริงๆ

Nikko_017

ด้านหน้าก็เป็นทางคนเดินเข้าไปแล้วค่ะ ด้านในมีพิพิธภัณฑ์และเป็นโซนวัดต่างๆนั่นเอง สังเกตได้ว่านักท่องเที่ยวคนญี่ปุ่นก็ไม่แพ้นักท่องเที่ยวต่างชาติเลย

Nikko_018

ส่วนใหญ่มาเป็นครบอครัว หรือมาเป็นแก๊งวัยรุ่น แก๊งสูงวัย หรือที่เห็นเยอะอีกอย่างก็คือกลุ่มคนที่พาน้องหมามาเดินเล่นนี่แหละ น่ารักกกกก

Nikko_019Nikko_042

ก่อนจะถึงศาลเจ้านะคะ ตรงนี้เป็นร้านคาเฟ่เล็กๆบริเวณพิพิธภัณฑ์ค่ะ ร้านเล็กๆแต่คนเยอะมาก ส่วนมากจะมาสั่งไอติมกัน อร่อยมาก เติมพลังได้เยอะเลย

Nikko_020

แวะถ่ายรูปหลายที่เกิน เราไปซื้อตั๋วเพื่อเข้าชมวัดนิกโกะโทชุกุกันดีกว่า

Nikko_021

เข้ามาถึงแล้วค่ะ ข้างในก็ใหญ่มาก คนเยอะมากจริงๆ

Nikko_022

เจ้าลิง ปิดหู ปิดตา ปิดวาจา สัญลักษณ์หนึ่งของศาลเจ้านี้เลยค่ะ

Nikko_023

ก็เป็นท่ายอดฮิตที่ใครๆก็ทำกัน ดูด้านหลังเราสิคะ อิอิ

Nikko_024

ของที่ระลึกเครื่องรางของบริเวณนี้ น่ารักมากค่ะ เจ้าลิงเอ๋ย

Nikko_025

ทุกสถาปัตยกรรมของที่นี่ งดงามมากๆ แสดงถึงความประณีตตั้งใจในการสร้างเลย สมกับที่ได้รับเป็นมรดกโลกจริงๆค่ะ

Nikko_026Nikko_027Nikko_028Nikko_029Nikko_031

Nikko_030

ตอนเราไปมีบางส่วนซ่อมบำรุงบ้าง แต่ก็ยังสวยอยู่ ด้านในบางสถานที่ห้ามมีการบันทึกภาพ เขาจะมีพิธีการ มีบทสวดอะไรสักอย่าง ถึงไม่อินมากแต่ถือว่าคุ้มมากๆ เราไปในช่วงบ่ายแก่ๆ เดินออกมาอีกทีคือวัดจะปิดแล้ว เพลินขนาดนั้นเลย

Nikko_040

อ่อ มีอีกจุดหนึ่งของที่นี่คือต้องเดินขึ้นบันไดมา ด้านบนเป็นศาลเล็กๆ สำหรับมาไหว้เคารพ และที่พลาดไม่ได้คือขึ้นมาดื่มชาเขียวข้างบนนี้นะคะ ชาเขียวหยอดเหรียญ !! ที่บอกพลาดไม่ได้เพราะว่าขึ้นมามีหอบและก็กระหายน้ำสุดๆ ชาเขียวหยอดเหรียญที่นี่เลยขายดีเลยค่ะ อิอิ

เวลาทำการ – เปิดทุกวัน

เวลา : 8:00 – 17:00 น. (พฤศจิกายน – มีนาคม: 8:00 – 16:00 น.)
* เข้าชมรอบสุดท้ายก่อนเวลาปิด 30 นาที*

DAY 2 : โซน“น้ำตก”

วันนี้ได้นั่งรถบัสแล้วแหละเพราะถ้าเดินคงไม่ไหว เราจะไปเที่ยวโซนน้ำตกกัน ต้องบอกก่อนว่าที่เที่ยวเยอะมาก วันเดียวก็เที่ยวไม่หมด แต่ที่ที่เราไปก็ประทับใจและเป็นไฮไลท์สำหรับคนที่มาเยือนนิกโก้ หยิบแผนที่ตารางรถบัสมากางไว้ให้ดีๆ เพราะรถที่นี่มาเป๊ะเว่อร์ จะเที่ยวที่ไหนสามารถกำหนดเวลาได้แน่นอน

Nikko_043

เราขึ้นรถเมล์สายสีน้ำงานจากป้ายสถานี Tōbu Nikkō Sta.(2) เป็นป้ายที่ใกล้ที่พักสุด ที่ป้ายรถเมล์จะมีบอกว่ารถมากี่โมง ซึ่งก็จะใกล้เคียงหรือตรงกับตารางรถเมล์ที่ได้มากับแผ่นพับ คนออกมาเที่ยวกันแต่เช้า ก็เลยได้นั่งที่นั่งเสริมตรงกลาง เก๋ๆ

จุด 1 : นั่งกระเช้า

เราขึ้นรถประมาณ 9 โมง ใช้เวลาเกือบๆ 40 นาทีก็ถึงที่หมายแรก คือสถานี Akechidaira (24) ระหว่างทางเป็นทางขึ้นเขาและเป็นเส้นทาง One way นะ ใครจะขึ้นกระเช้าต้องลงสถานีนี้เพราะขากลับเราไม่ผ่านแล้วจ้า

Nikko_044

ลงป้ายรถเมล์แล้ว เราต้องข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม เพื่อไปซื้อตั๋วขึ้นกระเช้าค่ะ

Nikko_045

ป้ายรถเมล์หมายเลข 24 ค่าาา ที่เห็นเหมือนบ้านอยู่ตรงด้านหน้า นั่นคือห้องน้ำนะคะ เข้าฟรีแต่ว่าไม่ค่อยจะสะอาดสะเท่าไหร่ มีกลิ่นลอยๆมานิดหน่อย 555555

Nikko_047

จากป้ายรถเมล์ที่เราลง พอข้ามถนนมาแล้วด้านหน้าก็เห็นป้ายราคาและรายละเอียดของการขึ้นกระเช้าเลย ราคาผู้ใหญ่ 730เยน/คน (สำหรับไป-กลับ)

Nikko_046

เมื่อเดินเข้ามาในอาคาร ก็จะเจอกับจุดจำหน่ายของที่ระลึกน่ารักๆ และขนมของฝาก

Nikko_048

จุดจำหน่ายตั๋วต้องเดินลงบันไดมานะคะ จะมีป้ายบอกตรงทางลง เนื่องจากมากันแต่เช้า คนน้อยเดินเข้าไปซื้อตั๋วก็ได้ขึ้นเลย

Nikko_049

กระเช้าขึ้นขึ้นได้ประมาณ 7-8 คน จะนั่งชมวิวสบายๆ หรือจะยืนเพื่อถ่ายรูปมุมสวยก็ได้ค่ะ

Nikko_052

ขึ้นไปสูงมาก แต่ไม่น่ากลัว และได้เห็นภูเขาผืนป่าอุดมสมบูรณ์สุดๆ

Nikko_051

ปลายทายทางเป็นจุดให้เราชมวิว เห็น Kegon Falls (น้ำตกเคงอน) และ Lake Chuzenji (ทะเลสาบซูเซนจิ) ระยะไกลๆ

Nikko_078

ยอดเหรียญไป 100 เยน เพื่อไปส่องวิว สวยมากๆ หลังจากนั้นก็ถ่ายรูปกันพอประมาณ และก็กลับไปนั่งกระเช้าเพื่อไปเที่ยวต่อ ตอนเราออกมาก็ตกใจเลย เพราะคนต่อแถวยาวเต็มบันได รู้สึกโชคดีมากที่มาแต่เช้า

เวลาทำการ – เปิดทุกวัน

  • เวลา 9:00-16:00 (ปิด 16:30 / แตกต่างกันตามฤดูกาล)

จุด 2 : ทะลเสาบ Chusenji

จากป้าย Akechidaira(24) รถที่ผ่านมาตรงนี้ทุกสายผ่าน Lake Chuzenji (ทะเลสาบซูเซนจิ) เพราะฉะนั้นรถอะไรมาก็ขึ้นได้เลย สบายมากแล้วลงที่สถานี Chusenji Onsen (26c)

Nikko_053

ใช้เวลาไม่นานก็ถึงแล้วค่ะ ตรงนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยว แหล่งชุมชน หากใครหิวแวะตรงป้ายนี้กันก่อนได้เลย

Nikko_054

เมื่อลงรถแล้วหันกลับหลังไปก็เจอเสาญี่ปุ่นใหญ่ๆสีแดง แปลว่าเรามาถูกแล้วไม่หลงฮะ เดินไปดูทะเลสาบอันยิ่งใหญ่ได้เลย บรรยากาศดูอบอุ่น มีแสงแดดสาดส่องเล็กน้อย เมืองค่อนข้างเงียบนะคะ ถือว่าได้ซึบซับธรรมชาติได้อย่างแท้จริง

Nikko_055

ที่นี่นอกจากมาชมบรรยากาศความกว้างใหญ่ของทะเลสาบแล้ว ยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจอีกด้วยอย่างเช่น การเดินป่าไปรอบๆทะเลสาบชูเซนจิ(เส้นรอบวง 25 กิโลเมตร) หรือจะล่องเรือรอบ Chuzenjiko Onsen เพื่อเพลิดเพลินไปกับธรรมชาติที่งดงามได้อีกด้วย

จุด 3 : น้ำตกริวซู Ryuzu Falls

จากนี้จะเป็นการนั่งรถสายสีน้ำเงินสายเดียวแล้วจ้า ขึ้นจากป้าย Chusenji Onsen (26a) ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีก็ถึงป้าย Ryuzu no taki(37)

Nikko_056

ลงรถมาก็ไม่รู้ต้องไปทางไหนต่อ ดูข้างทางมีแต่ป่าแต่เขา แต่เราได้ยินเสียงน้ำตกชัดมาก ดูเหมือนจะเป็นฝั่งตรงข้ามจากที่ลงรถมา เราจึงข้ามถนนแล้วเดินตามเสียงน้ำตกไปและเราก็มาถูกแบบงงๆ ที่นี่คือน้ำตกริวซู

Nikko_057Nikko_058

นอกจากฟังเดินตามเสียงน้ำตกแล้ว ก็มีกลุ่มป้าๆนี้แหละที่มาที่เดียวกับเรา น่ารักมาก ก็แอบเดินตามเขาเข้ามา 55555 เพื่อความมั่นใจ อยากบอกว่าเรามาเที่ยวนิกโก้จะเห็นแก๊งสูงวัยมาเที่ยวกันเป็นปกติเลย คิดถึงพ่อคิดถึงแม่ที่บ้านเลย ทุกคนยังแข็งแรง เฮฮาสุดๆ

Nikko_059

สวยมั้ยคะนี่แหละค่ะน้ำตกเรียวซู ชื่อนี้ได้มาเพราะลักษณ์ของน้ำตกที่มีความคล้ายคลึงกับหัวของมังกร (Ryuzu竜頭= หัวมังกร) น้ำตกแห่งนี้ตั้งบน Yukawa River (แม่น้ำยูคาวะ) น้ำจะไหล ลงสู่ Lake Chuzenji (ทะเลสาบซูเซนจิ) ถือเป็นจุดกำเนิดนั่นเอง

Nikko_061

ระหว่างทางชมน้ำตกก็จะเป็นทางบันไดขึ้นไปเรื่อยๆค่ะ

Nikko_060

เราก็เดินตามทางเรื่อยๆจนเป็นทางราบ ตรงนี้มันสามารถทะลุไปออกอีกฝั่งหนึ่งได้

Nikko_062

ออกมาเจอถนนอีกฝั่งหนึ่ง และมีสะพานตรงนี้ที่มองเห็นน้ำตกถอดยาวอย่างสวยงาม

Nikko_063

เมื่อเราออกมาอีกฝั่งก็เดินไปดูที่ป้ายรถเมล์ ว่าใช่ป้ายที่เราจะไปยังสถานที่ต่อไปไหม แล้วก็ใช่ด้วยค่ะ ทำให้ไม่ต้องเดินย้อนกลับไปป้ายที่เราลง

Nikko_064

รถมาแล้ว ตรงตามเวลาป้ายรถเมล์บอกเป๊ะ

Nikko_079Nikko_065

จุดหมายยิ่งไกล คนยิ่งน้อย ทางค่อนข้างโค้งไปโค้งมา แต่คนขับก็ขับได้ปลอดภัยดีหายห่วงเลยค่ะ จากนี้เราจะไปลงป้ายสุดทางเลย นั่งหลับพักไปยาวๆ ประมาณ 20 นาที

เวลาทำการ – เป็นสถานที่เปิด แวะมาชมเวลาไหนก็ได้ ไม่เสียค่าเข้าชมค่ะ

จุด 4 : บึงยูโนะไดระ Yunodaira Marsh

ป้ายสุดท้าย สุดสายของรถบัสนั่นก็คือป้าย Yumoto Onsen(46) ลงจากรถมาคิดว่าจะมาหาอะไรกินซะหน่อย เจอโรงแรมและบ้านเรือนแต่ไม่เห็นร้านค้าเลยค่ะ เงียบมากๆ ถ้ามาพักผ่อนก็ถือว่าสงบสุดๆ อีกทั้งที่นี่ยังขึ้นชื่อเรื่องการมาแช่ออนเซนด้วยนะ เพราะเป็นแหล่งธรรมชาติแท้ๆเลย

Nikko_066

และก็มีที่เที่ยวให้ชมอย่าง บึงยูโนะไดระ ที่เราเดินมั่วๆหลงมานั่นเอง 55555 เป็นบ่อน้ำพุร้อนที่เดือดจัดจนได้กลิ่นกำมะถัน ดูแปลกและน่าสนใจนะคะ

Nikko_067

ทางเดินเป็นไม้ ต้องเดินด้วยความระมัดระวังด้วยนะ ไม่รู้ร้อนแค่ไหน จากกลิ่นที่ส่งออกมาแล้วดูไม่เป็นมิตรเท่าไหร่ ก็ถือเป็นแหล่งศึกษาอย่างหนึ่งและก็ถ่ายรูปได้เก๋ๆค่ะ

เวลาทำการ – เป็นสถานที่เปิด แวะมาชมเวลาไหนก็ได้ ไม่เสียค่าเข้าชมค่ะ

จุด 5 : Lake Yunoko (ทะเลสาบยูโนโกะ)

จากป้าย Yomoto Onsen เราเดินย้อนลงมาก็จะพบกับทะเลสาบอันกว้างใหญ่ ที่นี่มีชื่อว่า Lake Yuniko (ทะเลสาบยูโนะโกะ) ริมทะเลสาบที่มีความยาวโดยรอบประมาณ 3 กม. มีเส้นทางเดินที่สามารถเดินรอบได้ในเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 10 นาที

Nikko_070

กิจกรรมของคนญี่ปุ่นก็มาตกปลากันค่ะ ทะเลสาบกว้างใหญ่มาก

Nikko_068

มีพายเรือด้วยนะคะ

Nikko_069

แต่ว่าเราถ่ายรูปเล่นดีกว่าค่ะ  ธรรมชาติที่นี่สดชื่นจริงๆ

Nikko_071

เดินขึ้นมาอีกหน่อย บริเวณที่เรามาถ่ายรูปทางเดินไม้นี้ และน่าจะเป็นจุดสตาร์ทในการเดิน Hiking นะคะ ส่วนเราไม่ได้วางแผนมาเดินก็เลยได้แต่ถ่ายรูปไว้เท่านั้น

เวลาทำการ – เป็นสถานที่เปิด แวะมาชมเวลาไหนก็ได้ ไม่เสียค่าเข้าชมค่ะ

จุด 6 : น้ำตกเคงอน Kegon Fall

เป็นทางผ่านก่อนที่เราจะกลับกันแล้วนะคะ ตรงนี้เรานั่งรถบัสมาลงที่ป้าย Chusenji Onsen (26) เดินตามทางขึ้นมาก็จะเห็นกับป้ายทางเข้าเลยค่ะ

Nikko_073Nikko_074

บริเวณนี้มีร้านอาหารหลายร้านทั้งด้านนอกและด้านในเอง แต่ว่าเรามาถึงประมาณสี่โมงเย็นค่ะ หลายร้านก็ปิดแล้ว

Nikko_075

เข้ามาดูน้ำตกเคงอนดีกว่า มาได้เห็นแบบใกล้เข้ามาอีกนิดจากที่ดูจากจุดชมวิว เราไม่ได้ลงไปข้างล่างนะคะ เป็นการชะโงกหัวดูจากด้านบนบริเวณด้านในหละค่ะ เห็นได้ประมาณนึง สวยจริงๆ และเสียงน้ำตกดังมากด้วย ถ้าใครอยากเข้าไปชมแบบเต็มตาก็สามารถตีตั๋วเข้าไปได้ในราคา 550 เยนค่ะ

เวลาทำการ – เปิดทุกวัน

8.00 ถึง 17.00 (มีนาคม – พฤศจิกายน)
9.00 – 16.30 น. (ธันวาคม-กุมภาพันธ์)

Bye Bye Nikko

Nikko_076

ได้เวลากลับแล้วหละค่ะ มายืนรอป้ายรถเมล์ขากลับค่ะ ขึ้นรถเมล์สายสีแดงกลับไปที่พัก เก็บของเตรียมกลับโตเกียว เป็นอีกหนึ่งวันที่ผ่านไปเร็วมาก แทบจะไม่ได้กินข้าวเป็นมื้อเลย ถึงแม้จะหิวหน่อยๆ แต่พอได้เที่ยวทีไรก็ลืมหิวทุกที

Nikko_077

ทางกลับเป็นช่วงลงเขา หวาดเสียวเล็กน้อย แต่ก็ตื่นเต้นดี ช่วงที่ลงจากเขาแล้วจะเป็นชุมชน และผ่านโรงเรียนมัธยมด้วย ในเวลาช่วงเย็นเด็กนักเรียนจะขึ้นกันเยอะ เต็มคันรถเลย เป็นบรรยากาศที่ไม่เคยเห็นมาก่อน น่ารักดีค่ะ

.

แถมที่แช่ออนเซ็น ราคาประหยัด บรรยากาศดี

ก่อนมาเที่ยว Nikko (นิกโก้) เราได้หาข้อมูลมาว่าที่นี่มีชื่อเสียงเรื่องแช่ออนเซ็นอีกเมืองหนึ่งเลย เราเลยอยากจะลองดูสักครั้ง มาที่ญี่ปุ่นแล้วทั้งทีอะเนอะ เลยได้ขอโรงแรมแนะนำจากพี่เจ้าของที่เราพัก ซึ่งก็ได้เป็นโรงแรมที่ดีและราคาไม่แพงแถมได้ส่วนลดจากการแนำนำจากที่พักเราอีกด้วย

Nikko_033

โรงแรมชื่อว่า Kozuchi No Yado Tsurukame Daikichi จุดเด่นคือกำแพงแดง มาถึงไม่หลงแน่นอน

Nikko_034

เข้ามาด้านใน ให้มาลงชื่อและก็ชำระเงินก่อน จากนั้นก็รับผ้าขนหนูแล้วก็ขึ้นลิฟท์ไปชั้นบน จุดแช่ออนเซ็นค่ะ

Nikko_035

เป็นออนเซ็นแบบเปิด แยกชาย-หญิง ตรงนี้เป็นห้องเปลี่ยนเสื้อ และก็เอาเสื้อผ้าและของเราวางในตะกร้า เรามาถึงมีคนญี่ปุ่นอยู่ก่อนหน้า 1 คน ไม่ได้แก่มากแต่ก็ไม่วัยรุ่นนัก เขาก็ยิ้มทักทาย ตอนแรกเรานี่เขิลเลย แต่ก็เอ๊ะ เขาก็แช่กันเป็นปกตินิหน่า ทำใจอยู่พักนึงแล้วก็ลุย

Nikko_036

มีสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อม มีจุดอาบน้ำ และจุดแช่สองจุดคือด้านในกับด้านนอก

Nikko_038

ด้านนอกบรรยากาศดีมาก สามารถเห็นวิวแม่น้ำและหุบเขาคินุกาวะ แต่ด้านนอกอากาศหนาวค่ะ แช่อยู่สะพัก สบายตัวสุดๆไปเลย

Nikko_032Nikko_039

ก่อนกลับไปที่พัก ใกล้ๆกับโรงแรมที่แช่ออนเซ็นมีแฟมิลี่มาร์ค เราแวะซื้อของกินเป็นมื้อเย็นเข้าไปกินที่ที่พัก บรรยากาศชิวสุดๆ


สรุปความประทับใจและค่าใช้จ่าย

สำหรับ 2 วัน 1 คืนที่นี่เที่ยวไม่ครบจริงๆค่ะ ยังมีที่เที่ยวอีกเยอะ แต่ก็คุ้มค่าแล้วที่ได้มา นิกโก้ยังมีอีกหลายสถานที่ที่ให้ทำกิจกรรมมันๆ ทั้งเดินป่า เล่นสกี พายเรือ ตกปลา แช่ออนเซน ใครเป็นสายกิจกรรมและชอบสัมผัสธรรมชาติ ที่นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีเลยค่ะ เดินทางไม่ไกลจากโตเกียว มีเวลาน้อยก็เที่ยวได้ สบาย~~~~~

StayNikko_009

เป็นทริปที่เจอแต่ความประทับใจจริงๆนะ ที่ตื่นตาก็ตรงที่ได้เห็นผู้สูงอายุเยอะมาก แล้วเที่ยวเหมือนวัยรุ่นเลย เก๋มาก ส่วนที่พักที่เราเลือกจองมาผ่าน Booking.com ก็ไม่ผิดหวังเลย เจ้าของคนไทยน่ารักสุดๆ มีการวาดแผนที่เที่ยว มาร์กจุดสำคัญไว้ให้ เขียนด้วยมืออีกต่างหาก ใส่ใจสุด

ยังไงถ้าใครสนใจมาเที่ยว ก็ลองดูที่เราท่องเที่ยวเป็นตัวอย่างได้นะคะ KalokkokokGrace เราเน้นสายประหยัดอยู่แล้ว รับรองว่าเที่ยวตามกันได้แน่นอน ค่าใช้จ่ายที่เสียไปได้แก่ :-

  1. ค่าตั๋ว NIKKOK ALL Area Pass = 4,520 เยน
  2. ค่าที่พัก Stay Nikko Guest House ห้องวิวภูเขา = 1,281บาท/คน/คืน 
  3. ค่าแช่ออนเชนที่โรงแรม Kozuchi No Yado Tsurukame Daikichi (เจ้าของที่พักแนะนำได้ส่วนลด) = 700 เยน
  4. ค่าเข้าศาลเจ้านิกโก้โทโชกุ = 1,300 เยน
  5. ค่าขึ้กระเช้าไป-กลับ = 730 เยน

ส่วนค่ากินเราไม่ค่อยกินอะไรมาก มีหิวๆก็แวะ Family Mart ค่ากินและค่าซื้อของฝากก็แล้วแต่ละคนไปเลยเนอะ ส่วนค่าใช้จ่ายที่จำเป็นที่เราเสียไปทั้งหมดคือ 11,093 เยน หรือประมาณ 3,698 บาท จ้า

หากใครมีคำถามหรือข้อสงสัย ทักมาถามมาคุยกันได้นะ

ติดตามเราได้ที่

Fanpang : https://www.facebook.com/kalokkokgrace
Website : https://www.kalokkokgrace.com
IG : https://www.instagram.com/kalokkokgrace/

Categories: Japan

ติดต่อสอบถามข้อมูลกับ กะล็อกก็อกเกรซ ได้นะคะ