Nikko 2 วัน 1 คืน ครบทั้งโซนมรดกโลก-น้ำตก ไม่ไกลโตเกียว
Nikko … ใครไม่โก้ นิกโก้ โอ้โห แค่ชื่อก็โก้แล้ววว แถมใกล้โตเกียวเวอร์
ใครมีแพลนไปเที่ยวโตเกียว และมีเวลาเหลือสักวันสองวัน อยากให้ไปสัมผัสธรรมชาติที่ ” Nikko (นิกโก้) “ กันเลยค่ะ เป็นอีกหนึ่งเมืองที่อยู่ไม่ไกลจากโตเกียวเลย บรรยากาศที่ Nikko เนี่ย Nippon สุดๆ อยากรู้ว่านิกโก้มีอะไร ทำไมทำให้เราหลงรักได้ขนาดนี้ กดรับชมวิดีโอกันก่อน หรือจะอ่านรายละเอียดต่างๆ ก็ตามมากันได้เลย Let’s gogo~
เมือง “นิกโก้” ตั้งอยู่ในจังหวัดโทะชิงิ อยู่ห่างจากโตเกียวไปทางทิศเหนือ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่นักท่องเที่ยวนิยมมาเยือนทั้งชาวต่างชาติและชาวญี่ปุ่นเอง เป็นแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติที่จัดว่ายอดเยี่ยม อีกทั้งยังมีวัดเก่าแก่ที่ถูกได้รับว่าเป็น มรดกโลก!! อีกด้วยนะเออ
น่าสนใจเข้าแล้วหละสิ บอกเลยว่าห้ามพลาด! เพราะ Nikko (นิกโก้)เที่ยวง่าย โดยเฉพาะการใช้ Pass เที่ยว คุ้มมาก จ่ายเพียง 4,520 เยน หรือประมาณ 1,000 กว่าบาทเท่านั้น เรามาเที่ยว 2 วัน 1 คืนเที่ยวได้ครบทั้งโซนมรดกโลกและโซนน้ำตกเลย ก่อนอื่นมาดู Pass และการเดินทางมาเยือนที่นี่กันก่อน
ตั๋วเที่ยวนิกโก้สุดคุ้ม
สำหรับ Pass เที่ยวเมืองนิกโก้มี 2 ประเภทได้แก่ NIKKO PASS all area และ NIKKO PASS world heritage area เป็นตั๋วที่รวมราคารถไฟไป-กลับ(Round Trip) และรวมถึงการเดินทางฟรีโดยรถประจำทางบริเวณพื้นที่ที่กำหนดของบัตรแบบไม่จำกัดรอบอีกด้วย ข้อแตกต่างจะอยู่ที่ราคา พื้นที่ที่ไป ส่วนลดในสถานที่ต่างๆ และจำนวนวัน
ส่วนเราได้ซื้อเป็น NIKKO PASS all area ราคา 4,520 เยน ใช้ได้ 4 วัน 3 คืน เหมาะแก่คนที่สนใจและมีเวลาไปเที่ยวโซนน้ำตกเพราะต้องใช้เวลาในการเดินทางพอสมควร Pass นี้ครอบคลุมการเดินทางโดยรถบัสทั้งหมด ถือว่าคุ้มมากๆได้สัมผัสธรรมชาติอย่างเต็มอิ่ม
เราซื้อตั๋วที่ TOBU Tourist Information Center สถานีอาซากุสะ เข้าไปด้านในจะมีเจ้าหน้าให้คำแนะนำ และที่สำคัญมีเจ้าหน้าที่เป็นคนไทยด้วย พี่เขาอธิบายการเดินทางให้อย่างดีเลย ถ้าดูตารางรถไฟเองอาจจะงงๆ พี่เขาก็อธิบายจนรู้เรื่องเลย ซื้อเสร็จก็เก็บตั๋วไว้ยื่นในวันเดินทาง และก็อย่าลืมหยิบตารางรถไฟที่เป็นแผ่นพับมาด้วย ขึ้นรถไฟเวลาไหน ลงสถานีอะไรต่อที่ไหนจะได้ไม่มีหลง
ใครพักย่านนี้หรือสะดวกเดินทางมา สามารถมาซื้อ Pass ได้ทุกวันในเวลาทำการ 7.20น. – 19.00น. ส่วนใครไม่สะดวก ตั๋วสำหรับเที่ยวนิกโก้ยังมีวางจำหน่ายที่สถานีอื่นๆ หรือสั่งซื้อทางออนไลน์ก็ยังได้ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ http://www.tobu.co.jp/foreign/th/pass/ เป็นเว็บไซต์ของทางรถไฟเลยมีภาษาไทยด้วย
นั่งรถไฟไปเที่ยวนิกโก้ จากสถานีอาซากุสะ
ตั๋วที่ซื้อไว้แล้ว เมื่อมาถึงสถานีอาซากุสะ ขึ้นบันไดเลื่อนมาตรงทางเข้า ให้เรานำบัตรมายื่นให้เจ้าหน้าที่ปั้มตั๋วก่อน จากนั้นก็ไปยืนรอรถไฟได้เลย รถไฟที่นั่งเป็นรถไฟสาย Tōbu Nikkō Line เป็นรถไฟสายตรงไปยังนิกโก้ ถือว่าเป็นวิธีที่สะดวกเป็นอย่างยิ่ง
บรรยากาศในตอนเช้าค่ะ ตั้งใจจะขึ้นรถไฟรอบแรกเลย
รอบแรกเวลา 6:40 รถไฟจะมาแล้ว อ่านภาษาญี่ปุ่นไม่ออก ก็สังเกตจากเวลารอบรถไฟที่เราจะขึ้น เพื่อนๆวางแผนเที่ยวรอบไหน ต้องการไปถึงนิกโก้กี่โมงให้เช็คจากตารางรถไฟให้ดี บางรอบก็มีขบวนที่นั่งยาวถึงนิกโก้เลยและบางรอบก็ต้องต่อขบวน
ยืนรอรถไฟ~ ง่วงก็ง่วง ตื่นเต้นก็ตื่นเต้น ตั้งใจจะไปรอบเช้าสุดที่ไม่ต้องต่อขบวน แต่เบลอๆมึนๆ รถไฟมาจอดต่อหน้าแล้ว แต่ดันไม่ได้ขึ้นเพราะคิดว่าไม่ใช่! พอถึงเวลาปุ้ปรถไฟออกปั้บ ยืนงงนิดๆ ถึงรู้ตัวว่าตกรถไฟจ้าาา!
ก็ไปหาที่นั่งรอในสถานี ถึงจะขึ้นรถไฟที่ต้องต่อหลายขบวน แต่ถ้าดูตามชื่อสถานีที่ต้องเปลี่ยนตามตารางรถไฟที่ได้มาไม่มีหลงแน่นอนค่ะ หรือให้มั่นใจสามารถถามเจ้าหน้าที่ใกล้เคียงบริเวณนั้นได้เลย คนญี่ปุ่นใจดี
คู่นี้คนหนึ่งเป็นชาวต่างชาติ อีกคนหนึ่งน่าจะเป็นไกด์ค่ะ ขึ้นมาจากสถานีเดียวกับเรา ก็เลยคิดว่าเขาต้องไปเที่ยวนิกโก้แน่ๆเลย 555555 แล้วก็เป็นแบบนั้นจริงๆ อิอิ
เปลี่ยนมาสามขบวนแล้วค่ะนี่คือขบวนสุดท้ายที่ปลายทางคือนิกโก้ ดีใจสุดๆ ตื่นเต้นตลอดทางเลยก็ว่าได้
ก็ดูสิคะตลอดข้างทาง เขียวขจี ธรรมชาติสุดๆ
ถึงแล้วๆ แม้จะพลาดขบวนเช้าสุดไป แต่ก็เลทจากที่ตั้งใจไว้แค่ 1 ชั่วโมง ลงรถไฟมาเนี่ยโอ้โห อากาศเป็นใจ เย็นสบาย ยินดีต้อนรับสุดๆ ว่าแล้วก็รีบเอาของไปเก็บที่พักแล้วไปเที่ยวกันเลยดีกว่า เราพักที่ Stay Nikko Guest House มีรีวิวไว้แล้วสำหรับที่พักในญี่ปุ่นนะคะ ไปตามกันได้ ที่นี่ดีมากๆๆๆ แนะนำเลยถ้าใครมาเที่ยวนิกโก้
DAY 1 : โซน“มรดกโลก”
ตั๋วที่ซื้อมาเราสามารถนั่งรถเมล์เพื่อไปยังสถานที่เที่ยวต่างๆได้หมดเลย แต่เนื่องจากแหล่งท่องเที่ยวเป็นที่นิยมในช่วงกลางวันรถค่อนข้างติด เราจึงตัดสินใจเดินเท้าไปเรื่อยๆ เพื่อเยี่ยมชมเมือง เราสามารถเดินเป็นกิโลเลย เดินยาวไปๆ เพราะอากาศดีมาก ฟ้าเปิดสดใส เย็นๆสบาย
ต้องบอกโชคดีมาก เพราะ 2-3 วันก่อน ญี่ปุ่นพายุเข้าฝนตกทั้งวัน ตอนนี้พายุไปแล้ว ท้องฟ้าแจ่มใสและอากาศเย็นกำลังดี
ระหว่างทาง ก็ขอแวะเติมพลังกันก่อนค่ะ ข้างทางจะมีร้านค้า และร้านอาหารอยู่ตลอด เราเลือกแวะร้านนี้ค่ะ ดูคนเยอะและน่าเข้า ร้านอาหารเล็กๆนี้ มีชื่อว่า “Hippari-Dako” พนักงานต้อนรับดี รสชาติใช้ได้ บรรยากาศอบอุ่น
ตอนอยู่ในร้านอาหาร ก็วางแผนเที่ยวกันสดๆเลย กางแผนที่ที่ได้จากที่พัก เป็นแผนที่ที่น่ารักที่สุด เพราะพี่เจ้าของที่พักเขียนด้วยลายมือตัวเองทุกแผ่นเลยค่ะ บอกสถานที่เที่ยวสำคัญ และเวลาเปิดปิดของสถานที่นั้นๆ เข้าใจง่ายดีด้วยค่ะ
จุด 1 : สะพานแดงชินเคียว
การเดินทางมาจากสถานีรถไฟ สะพานแดงจะอยู่ด้านซ้ายมือ ก่อนถึงทางสามแยกค่ะ หาไม่ยากเลย สวยโดดเด่นมาแต่ไกล ใครๆก็มาถ่ายรูปกัน รวมถึงเราด้วย 555555
สะพานแดงชินเคียวถือเป็นแลนมาร์คของที่นี่เลยก็ว่าได้ จากที่เคยเห็นรูปในเน็ตสวยงาม เข้าไปยืนในสะพานถ่ายรูปเก๋ๆ พอวันที่เราไปถึงพึ่งรู้ว่าเสียค่าเข้า 300 เยนด้วย เราก็เลยไม่เข้า 55555 ยืนถ่ายรูปอยู่ไกลๆ ไกลเนอะ แต่ของจริงใหญ่และสวยมากจริงๆ
เวลาทำการ – เปิดทุกวัน
- 8.00 ถึง 17.00 (เมษายน – กันยายน)
- 8.00 – 16.00 น. (ตุลาคมถึงกลางเดือนพฤศจิกา
ยน) - 9. 00-16. 00 (กลางเดือนพฤศจิกายนถึงมีนา
คม)
จุด 2 : ศาลเจ้านิกโกะโทโชกุ
วัดในนิกโก้มีเยอะมาก ส่วนมากจะเสียค่าเข้าราคาอยู่ที่ 200 เยน, 300เยน เราจึงตัดสินใจไปแค่วัดเดียวนั่นก็คือ ศาลเจ้านิกโกะโทโชกุ ที่เป็นที่มีชื่อเสียงและได้รับเป็นมรดกโลก ที่มีค่าเข้าถึง 1,250 เยน/คน เจ็บแต่จบเพราะวัดนี้วัดเดียวก็ใหญ่มาก!! (คนก็เยอะมากเช่นกัน)
เราใช้วิธีการเดินอีกเช่นเคย ตรงทางสามแยกตรงข้ามสะพานแดงชินเคียว จะมีทางขึ้นไปโซนวัด เป็นบันไดที่สองฝั่งเต็มไปด้วยต้นไม้ ป่าไม้ ร่มรื่นมากๆ
เดินไปสุดจะเป็นทางลาดด้านบนเริ่มเป็นสถานีที่เที่ยว เดินชมได้เพลินๆเลยค่ะ แต่ถ้าใครจะขึ้นไปโซนวัดหรือไปศาลเจ้านิกโกะโทโชกุ ก็มีรถเมล์สาย World Heritage Bus ลงป้าย Omotesando ได้ค่ะ
ระหว่างทาง เราเจอกำแพงไม่แน่ใจว่าเป็นบ้านเรือนหรือสถานที่อะไรนะ มองลอดช่องเข้าไปพอดี เห็นแล้ววนึกถึงการ์ตูนเรื่อง อิคิวซัง ทำให้หวนคิดถึงตอนเด็กๆที่ดูการ์ตูนญี่ปุ่นเลย 55555
เดินไปถ่ายรูปไปก็เพลินๆดีค่ะ แวะถ่ายรูปข้างทางตลอด เหนื่อยก็นั่งพัก ที่นี่ร่มรื่นจริงๆ
ด้านหน้าก็เป็นทางคนเดินเข้าไปแล้วค่ะ ด้านในมีพิพิธภัณฑ์และเป็นโซนวัดต่างๆนั่นเอง สังเกตได้ว่านักท่องเที่ยวคนญี่ปุ่นก็ไม่แพ้นักท่องเที่ยวต่างชาติเลย
ส่วนใหญ่มาเป็นครบอครัว หรือมาเป็นแก๊งวัยรุ่น แก๊งสูงวัย หรือที่เห็นเยอะอีกอย่างก็คือกลุ่มคนที่พาน้องหมามาเดินเล่นนี่แหละ น่ารักกกกก
ก่อนจะถึงศาลเจ้านะคะ ตรงนี้เป็นร้านคาเฟ่เล็กๆบริเวณพิพิธภัณฑ์ค่ะ ร้านเล็กๆแต่คนเยอะมาก ส่วนมากจะมาสั่งไอติมกัน อร่อยมาก เติมพลังได้เยอะเลย
แวะถ่ายรูปหลายที่เกิน เราไปซื้อตั๋วเพื่อเข้าชมวัดนิกโกะโทชุกุกันดีกว่า
เข้ามาถึงแล้วค่ะ ข้างในก็ใหญ่มาก คนเยอะมากจริงๆ
เจ้าลิง ปิดหู ปิดตา ปิดวาจา สัญลักษณ์หนึ่งของศาลเจ้านี้เลยค่ะ
ก็เป็นท่ายอดฮิตที่ใครๆก็ทำกัน ดูด้านหลังเราสิคะ อิอิ
ของที่ระลึกเครื่องรางของบริเวณนี้ น่ารักมากค่ะ เจ้าลิงเอ๋ย
ทุกสถาปัตยกรรมของที่นี่ งดงามมากๆ แสดงถึงความประณีตตั้งใจในการสร้างเลย สมกับที่ได้รับเป็นมรดกโลกจริงๆค่ะ
ตอนเราไปมีบางส่วนซ่อมบำรุงบ้าง แต่ก็ยังสวยอยู่ ด้านในบางสถานที่ห้ามมีการบันทึกภาพ เขาจะมีพิธีการ มีบทสวดอะไรสักอย่าง ถึงไม่อินมากแต่ถือว่าคุ้มมากๆ เราไปในช่วงบ่ายแก่ๆ เดินออกมาอีกทีคือวัดจะปิดแล้ว เพลินขนาดนั้นเลย
อ่อ มีอีกจุดหนึ่งของที่นี่คือต้องเดินขึ้นบันไดมา ด้านบนเป็นศาลเล็กๆ สำหรับมาไหว้เคารพ และที่พลาดไม่ได้คือขึ้นมาดื่มชาเขียวข้างบนนี้นะคะ ชาเขียวหยอดเหรียญ !! ที่บอกพลาดไม่ได้เพราะว่าขึ้นมามีหอบและก็กระหายน้ำสุดๆ ชาเขียวหยอดเหรียญที่นี่เลยขายดีเลยค่ะ อิอิ
เวลาทำการ – เปิดทุกวัน
เวลา : 8:00 – 17:00 น. (พฤศจิกายน – มีนาคม: 8:00 – 16:00 น.)
* เข้าชมรอบสุดท้ายก่อนเวลาปิ
DAY 2 : โซน“น้ำตก”
วันนี้ได้นั่งรถบัสแล้วแหละเพราะถ้าเดินคงไม่ไหว เราจะไปเที่ยวโซนน้ำตกกัน ต้องบอกก่อนว่าที่เที่ยวเยอะมาก วันเดียวก็เที่ยวไม่หมด แต่ที่ที่เราไปก็ประทับใจและเป็นไฮไลท์สำหรับคนที่มาเยือนนิกโก้ หยิบแผนที่ตารางรถบัสมากางไว้ให้ดีๆ เพราะรถที่นี่มาเป๊ะเว่อร์ จะเที่ยวที่ไหนสามารถกำหนดเวลาได้แน่นอน
เราขึ้นรถเมล์สายสีน้ำงานจากป้ายสถานี Tōbu Nikkō Sta.(2) เป็นป้ายที่ใกล้ที่พักสุด ที่ป้ายรถเมล์จะมีบอกว่ารถมากี่โมง ซึ่งก็จะใกล้เคียงหรือตรงกับตารางรถเมล์ที่ได้มากับแผ่นพับ คนออกมาเที่ยวกันแต่เช้า ก็เลยได้นั่งที่นั่งเสริมตรงกลาง เก๋ๆ
จุด 1 : นั่งกระเช้า
เราขึ้นรถประมาณ 9 โมง ใช้เวลาเกือบๆ 40 นาทีก็ถึงที่หมายแรก คือสถานี Akechidaira (24) ระหว่างทางเป็นทางขึ้นเขาและเป็นเส้นทาง One way นะ ใครจะขึ้นกระเช้าต้องลงสถานีนี้เพราะขากลับเราไม่ผ่านแล้วจ้า
ลงป้ายรถเมล์แล้ว เราต้องข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม เพื่อไปซื้อตั๋วขึ้นกระเช้าค่ะ
ป้ายรถเมล์หมายเลข 24 ค่าาา ที่เห็นเหมือนบ้านอยู่ตรงด้านหน้า นั่นคือห้องน้ำนะคะ เข้าฟรีแต่ว่าไม่ค่อยจะสะอาดสะเท่าไหร่ มีกลิ่นลอยๆมานิดหน่อย 555555
จากป้ายรถเมล์ที่เราลง พอข้ามถนนมาแล้วด้านหน้าก็เห็นป้ายราคาและรายละเอียดของการขึ้นกระเช้าเลย ราคาผู้ใหญ่ 730เยน/คน (สำหรับไป-กลับ)
เมื่อเดินเข้ามาในอาคาร ก็จะเจอกับจุดจำหน่ายของที่ระลึกน่ารักๆ และขนมของฝาก
จุดจำหน่ายตั๋วต้องเดินลงบันไดมานะคะ จะมีป้ายบอกตรงทางลง เนื่องจากมากันแต่เช้า คนน้อยเดินเข้าไปซื้อตั๋วก็ได้ขึ้นเลย
กระเช้าขึ้นขึ้นได้ประมาณ 7-8 คน จะนั่งชมวิวสบายๆ หรือจะยืนเพื่อถ่ายรูปมุมสวยก็ได้ค่ะ
ขึ้นไปสูงมาก แต่ไม่น่ากลัว และได้เห็นภูเขาผืนป่าอุดมสมบูรณ์สุดๆ
ปลายทายทางเป็นจุดให้เราชมวิว เห็น Kegon Falls (น้ำตกเคงอน) และ Lake Chuzenji (ทะเลสาบซูเซนจิ) ระยะไกลๆ
ยอดเหรียญไป 100 เยน เพื่อไปส่องวิว สวยมากๆ หลังจากนั้นก็ถ่ายรูปกันพอประมาณ และก็กลับไปนั่งกระเช้าเพื่อไปเที่ยวต่อ ตอนเราออกมาก็ตกใจเลย เพราะคนต่อแถวยาวเต็มบันได รู้สึกโชคดีมากที่มาแต่เช้า
เวลาทำการ – เปิดทุกวัน
- เวลา 9:00-16:00 (ปิด 16:30 /
แตกต่างกันตามฤดูกาล)
จุด 2 : ทะลเสาบ Chusenji
จากป้าย Akechidaira(24) รถที่ผ่านมาตรงนี้ทุกสายผ่าน Lake Chuzenji (ทะเลสาบซูเซนจิ) เพราะฉะนั้นรถอะไรมาก็ขึ้นได้เลย สบายมากแล้วลงที่สถานี Chusenji Onsen (26c)
ใช้เวลาไม่นานก็ถึงแล้วค่ะ ตรงนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยว แหล่งชุมชน หากใครหิวแวะตรงป้ายนี้กันก่อนได้เลย
เมื่อลงรถแล้วหันกลับหลังไปก็เจอเสาญี่ปุ่นใหญ่ๆสีแดง แปลว่าเรามาถูกแล้วไม่หลงฮะ เดินไปดูทะเลสาบอันยิ่งใหญ่ได้เลย บรรยากาศดูอบอุ่น มีแสงแดดสาดส่องเล็กน้อย เมืองค่อนข้างเงียบนะคะ ถือว่าได้ซึบซับธรรมชาติได้อย่างแท้จริง
ที่นี่นอกจากมาชมบรรยากาศความกว้างใหญ่ของทะเลสาบแล้ว ยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจอีกด้วยอย่างเช่น การเดินป่าไปรอบๆทะเลสาบชูเซนจิ(เส้นรอบวง 25 กิโลเมตร) หรือจะล่องเรือรอบ Chuzenjiko Onsen เพื่อเพลิดเพลินไปกับธรรมชาติที่งดงามได้อีกด้วย
จุด 3 : น้ำตกริวซู Ryuzu Falls
จากนี้จะเป็นการนั่งรถสายสีน้ำเงินสายเดียวแล้วจ้า ขึ้นจากป้าย Chusenji Onsen (26a) ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีก็ถึงป้าย Ryuzu no taki(37)
ลงรถมาก็ไม่รู้ต้องไปทางไหนต่อ ดูข้างทางมีแต่ป่าแต่เขา แต่เราได้ยินเสียงน้ำตกชัดมาก ดูเหมือนจะเป็นฝั่งตรงข้ามจากที่ลงรถมา เราจึงข้ามถนนแล้วเดินตามเสียงน้ำตกไปและเราก็มาถูกแบบงงๆ ที่นี่คือน้ำตกริวซู
นอกจากฟังเดินตามเสียงน้ำตกแล้ว ก็มีกลุ่มป้าๆนี้แหละที่มาที่เดียวกับเรา น่ารักมาก ก็แอบเดินตามเขาเข้ามา 55555 เพื่อความมั่นใจ อยากบอกว่าเรามาเที่ยวนิกโก้จะเห็นแก๊งสูงวัยมาเที่ยวกันเป็นปกติเลย คิดถึงพ่อคิดถึงแม่ที่บ้านเลย ทุกคนยังแข็งแรง เฮฮาสุดๆ
สวยมั้ยคะนี่แหละค่ะน้ำตกเรียวซู ชื่อนี้ได้มาเพราะลักษณ์ของน้ำตกที่มีความคล้ายคลึงกับหัวของมังกร (Ryuzu竜頭= หัวมังกร) น้ำตกแห่งนี้ตั้งบน Yukawa River (แม่น้ำยูคาวะ) น้ำจะไหล ลงสู่ Lake Chuzenji (ทะเลสาบซูเซนจิ) ถือเป็นจุดกำเนิดนั่นเอง
ระหว่างทางชมน้ำตกก็จะเป็นทางบันไดขึ้นไปเรื่อยๆค่ะ
เราก็เดินตามทางเรื่อยๆจนเป็นทางราบ ตรงนี้มันสามารถทะลุไปออกอีกฝั่งหนึ่งได้
ออกมาเจอถนนอีกฝั่งหนึ่ง และมีสะพานตรงนี้ที่มองเห็นน้ำตกถอดยาวอย่างสวยงาม
เมื่อเราออกมาอีกฝั่งก็เดินไปดูที่ป้ายรถเมล์ ว่าใช่ป้ายที่เราจะไปยังสถานที่ต่อไปไหม แล้วก็ใช่ด้วยค่ะ ทำให้ไม่ต้องเดินย้อนกลับไปป้ายที่เราลง
รถมาแล้ว ตรงตามเวลาป้ายรถเมล์บอกเป๊ะ
จุดหมายยิ่งไกล คนยิ่งน้อย ทางค่อนข้างโค้งไปโค้งมา แต่คนขับก็ขับได้ปลอดภัยดีหายห่วงเลยค่ะ จากนี้เราจะไปลงป้ายสุดทางเลย นั่งหลับพักไปยาวๆ ประมาณ 20 นาที
เวลาทำการ – เป็นสถานที่เปิด แวะมาชมเวลาไหนก็ได้ ไม่เสียค่าเข้าชมค่ะ
จุด 4 : บึงยูโนะไดระ Yunodaira Marsh
ป้ายสุดท้าย สุดสายของรถบัสนั่นก็คือป้าย Yumoto Onsen(46) ลงจากรถมาคิดว่าจะมาหาอะไรกินซะหน่อย เจอโรงแรมและบ้านเรือนแต่ไม่เห็นร้านค้าเลยค่ะ เงียบมากๆ ถ้ามาพักผ่อนก็ถือว่าสงบสุดๆ อีกทั้งที่นี่ยังขึ้นชื่อเรื่องการมาแช่ออนเซนด้วยนะ เพราะเป็นแหล่งธรรมชาติแท้ๆเลย
และก็มีที่เที่ยวให้ชมอย่าง บึงยูโนะไดระ ที่เราเดินมั่วๆหลงมานั่นเอง 55555 เป็นบ่อน้ำพุร้อนที่เดือดจัดจนได้กลิ่นกำมะถัน ดูแปลกและน่าสนใจนะคะ
ทางเดินเป็นไม้ ต้องเดินด้วยความระมัดระวังด้วยนะ ไม่รู้ร้อนแค่ไหน จากกลิ่นที่ส่งออกมาแล้วดูไม่เป็นมิตรเท่าไหร่ ก็ถือเป็นแหล่งศึกษาอย่างหนึ่งและก็ถ่ายรูปได้เก๋ๆค่ะ
เวลาทำการ – เป็นสถานที่เปิด แวะมาชมเวลาไหนก็ได้ ไม่เสียค่าเข้าชมค่ะ
จุด 5 : Lake Yunoko (ทะเลสาบยูโนโกะ)
จากป้าย Yomoto Onsen เราเดินย้อนลงมาก็จะพบกับทะเลสาบอันกว้างใหญ่ ที่นี่มีชื่อว่า Lake Yuniko (ทะเลสาบยูโนะโกะ) ริมทะเลสาบที่มีความยาวโดยรอบประมาณ 3 กม. มีเส้นทางเดินที่สามารถเดินรอบได้ในเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 10 นาที
กิจกรรมของคนญี่ปุ่นก็มาตกปลากันค่ะ ทะเลสาบกว้างใหญ่มาก
มีพายเรือด้วยนะคะ
แต่ว่าเราถ่ายรูปเล่นดีกว่าค่ะ ธรรมชาติที่นี่สดชื่นจริงๆ
เดินขึ้นมาอีกหน่อย บริเวณที่เรามาถ่ายรูปทางเดินไม้นี้ และน่าจะเป็นจุดสตาร์ทในการเดิน Hiking นะคะ ส่วนเราไม่ได้วางแผนมาเดินก็เลยได้แต่ถ่ายรูปไว้เท่านั้น
เวลาทำการ – เป็นสถานที่เปิด แวะมาชมเวลาไหนก็ได้ ไม่เสียค่าเข้าชมค่ะ
จุด 6 : น้ำตกเคงอน Kegon Fall
เป็นทางผ่านก่อนที่เราจะกลับกันแล้วนะคะ ตรงนี้เรานั่งรถบัสมาลงที่ป้าย Chusenji Onsen (26) เดินตามทางขึ้นมาก็จะเห็นกับป้ายทางเข้าเลยค่ะ
บริเวณนี้มีร้านอาหารหลายร้านทั้งด้านนอกและด้านในเอง แต่ว่าเรามาถึงประมาณสี่โมงเย็นค่ะ หลายร้านก็ปิดแล้ว
เข้ามาดูน้ำตกเคงอนดีกว่า มาได้เห็นแบบใกล้เข้ามาอีกนิดจากที่ดูจากจุดชมวิว เราไม่ได้ลงไปข้างล่างนะคะ เป็นการชะโงกหัวดูจากด้านบนบริเวณด้านในหละค่ะ เห็นได้ประมาณนึง สวยจริงๆ และเสียงน้ำตกดังมากด้วย ถ้าใครอยากเข้าไปชมแบบเต็มตาก็สามารถตีตั๋วเข้าไปได้ในราคา 550 เยนค่ะ
เวลาทำการ – เปิดทุกวัน
8.00 ถึง 17.00 (มีนาคม – พฤศจิกายน)
9.00 – 16.30 น. (ธันวาคม-กุมภาพันธ์)
Bye Bye Nikko
ได้เวลากลับแล้วหละค่ะ มายืนรอป้ายรถเมล์ขากลับค่ะ ขึ้นรถเมล์สายสีแดงกลับไปที่พัก เก็บของเตรียมกลับโตเกียว เป็นอีกหนึ่งวันที่ผ่านไปเร็วมาก แทบจะไม่ได้กินข้าวเป็นมื้อเลย ถึงแม้จะหิวหน่อยๆ แต่พอได้เที่ยวทีไรก็ลืมหิวทุกที
ทางกลับเป็นช่วงลงเขา หวาดเสียวเล็กน้อย แต่ก็ตื่นเต้นดี ช่วงที่ลงจากเขาแล้วจะเป็นชุมชน และผ่านโรงเรียนมัธยมด้วย ในเวลาช่วงเย็นเด็กนักเรียนจะขึ้นกันเยอะ เต็มคันรถเลย เป็นบรรยากาศที่ไม่เคยเห็นมาก่อน น่ารักดีค่ะ
.
แถมที่แช่ออนเซ็น ราคาประหยัด บรรยากาศดี
ก่อนมาเที่ยว Nikko (นิกโก้) เราได้หาข้อมูลมาว่าที่นี่มีชื่อเสียงเรื่องแช่ออนเซ็นอีกเมืองหนึ่งเลย เราเลยอยากจะลองดูสักครั้ง มาที่ญี่ปุ่นแล้วทั้งทีอะเนอะ เลยได้ขอโรงแรมแนะนำจากพี่เจ้าของที่เราพัก ซึ่งก็ได้เป็นโรงแรมที่ดีและราคาไม่แพงแถมได้ส่วนลดจากการแนำนำจากที่พักเราอีกด้วย
โรงแรมชื่อว่า Kozuchi No Yado Tsurukame Daikichi จุดเด่นคือกำแพงแดง มาถึงไม่หลงแน่นอน
เข้ามาด้านใน ให้มาลงชื่อและก็ชำระเงินก่อน จากนั้นก็รับผ้าขนหนูแล้วก็ขึ้นลิฟท์ไปชั้นบน จุดแช่ออนเซ็นค่ะ
เป็นออนเซ็นแบบเปิด แยกชาย-หญิง ตรงนี้เป็นห้องเปลี่ยนเสื้อ และก็เอาเสื้อผ้าและของเราวางในตะกร้า เรามาถึงมีคนญี่ปุ่นอยู่ก่อนหน้า 1 คน ไม่ได้แก่มากแต่ก็ไม่วัยรุ่นนัก เขาก็ยิ้มทักทาย ตอนแรกเรานี่เขิลเลย แต่ก็เอ๊ะ เขาก็แช่กันเป็นปกตินิหน่า ทำใจอยู่พักนึงแล้วก็ลุย
มีสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อม มีจุดอาบน้ำ และจุดแช่สองจุดคือด้านในกับด้านนอก
ด้านนอกบรรยากาศดีมาก สามารถเห็นวิวแม่น้ำและหุบเขาคินุกาวะ แต่ด้านนอกอากาศหนาวค่ะ แช่อยู่สะพัก สบายตัวสุดๆไปเลย
ก่อนกลับไปที่พัก ใกล้ๆกับโรงแรมที่แช่ออนเซ็นมีแฟมิลี่มาร์ค เราแวะซื้อของกินเป็นมื้อเย็นเข้าไปกินที่ที่พัก บรรยากาศชิวสุดๆ
สรุปความประทับใจและค่าใช้จ่าย
สำหรับ 2 วัน 1 คืนที่นี่เที่ยวไม่ครบจริงๆค่ะ ยังมีที่เที่ยวอีกเยอะ แต่ก็คุ้มค่าแล้วที่ได้มา นิกโก้ยังมีอีกหลายสถานที่ที่ให้ทำกิจกรรมมันๆ ทั้งเดินป่า เล่นสกี พายเรือ ตกปลา แช่ออนเซน ใครเป็นสายกิจกรรมและชอบสัมผัสธรรมชาติ ที่นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีเลยค่ะ เดินทางไม่ไกลจากโตเกียว มีเวลาน้อยก็เที่ยวได้ สบาย~~~~~
เป็นทริปที่เจอแต่ความประทับใจจริงๆนะ ที่ตื่นตาก็ตรงที่ได้เห็นผู้สูงอายุเยอะมาก แล้วเที่ยวเหมือนวัยรุ่นเลย เก๋มาก ส่วนที่พักที่เราเลือกจองมาผ่าน Booking.com ก็ไม่ผิดหวังเลย เจ้าของคนไทยน่ารักสุดๆ มีการวาดแผนที่เที่ยว มาร์กจุดสำคัญไว้ให้ เขียนด้วยมืออีกต่างหาก ใส่ใจสุด
ยังไงถ้าใครสนใจมาเที่ยว ก็ลองดูที่เราท่องเที่ยวเป็นตัวอย่างได้นะคะ KalokkokokGrace เราเน้นสายประหยัดอยู่แล้ว รับรองว่าเที่ยวตามกันได้แน่นอน ค่าใช้จ่ายที่เสียไปได้แก่ :-
- ค่าตั๋ว NIKKOK ALL Area Pass = 4,520 เยน
- ค่าที่พัก Stay Nikko Guest House ห้องวิวภูเขา = 1,281บาท/คน/คืน
- ค่าแช่ออนเชนที่โรงแรม Kozuchi No Yado Tsurukame Daikichi (เจ้าของที่พักแนะนำได้ส่วน
ลด) = 700 เยน - ค่าเข้าศาลเจ้านิกโก้โทโชกุ
= 1,300 เยน - ค่าขึ้กระเช้าไป-กลับ = 730 เยน
ส่วนค่ากินเราไม่ค่อยกินอะไรมาก มีหิวๆก็แวะ Family Mart ค่ากินและค่าซื้อของฝากก็แล้วแต่ละคนไปเลยเนอะ ส่วนค่าใช้จ่ายที่จำเป็นที่เราเสียไปทั้งหมดคือ 11,093 เยน หรือประมาณ 3,698 บาท จ้า
หากใครมีคำถามหรือข้อสงสัย ทักมาถามมาคุยกันได้นะ
ติดตามเราได้ที่
Fanpang : https://www.facebook.com/kalokkokgrace
Website : https://www.kalokkokgrace.com
IG : https://www.instagram.com/kalokkokgrace/