Work & Travel ประเทศสหรัฐอเมริกา เตรียมพร้อมก่อนไปกันเถอะ
ประสบการณ์ Work & Travel ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา / การเตรียมตัวก่อนไปและการปรับตัวในการใช้ชีวิตที่อยู่ห่างบ้านอันไกลโพ้นเกือบ 4 เดือนครั้งแรก คุ้มค่ากว่านี้ ไม่มีอีกแล้ว
สวัสดี…“กะล็อคก็อกเกรซ” เองจ้า ก่อนจะมาเป็น “เด็กเวิร์ค” ก็เป็นเด็กทั่วไปที่เมื่อเรียนจบแล้ว อยากออกไปหาประสบการณ์ชีวิตสักหน่อย จึงอยากมาแชร์ อยากมาคุยและเล่าประสบการณ์ให้ใครที่กำลังสนใจไป ไปเวิร์ค (Work and Travel) ประเทศสหรัฐอเมริกากันค่า
คุณสมบัติของคนที่จะไป work & travel ได้ คือ
- ต้องมีอายุไม่เกิน 28ปี และมีสถานภาพเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย ภาคปกติ หากกำลังจะจบปี 4 ต้องสมัครร่วมโครงการตั้งแต่เทอม1 หรือตอนยังมีสถานภาพเป็นนักศึกษา นักศึกษาปริญญาโทก็สมัครได้จ้า
- หากอายุเกินหรือเรียนจบแล้ว ถ้าอยากไปจริงๆ ลองดู Internship/Trainee Program เอาก็ดีจ้า
ช่วงเลือก Agent
ก่อนไปเวิร์คหาข้อมูลเยอะมาก ยิ่งทำให้ทำอะไรๆง่ายขึ้น และการเลือก Agent สำคัญมาก!! หาแบบที่เค้าไม่เท ไม่ฟาดเรา คนชอบพูดว่าเลือกงานก่อนค่อยเลือก Agent แต่เราคิดว่าควรเลือกควบคู่กันไป ในไทยมี Agent ให้เลือกเยอะมาก แต่ละ Agent ก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป เลือกเอาตามที่ถูกใจแต่ละคนเลย แล้วอย่าลืมอ่านรีวิว Agent เยอะๆว่าเคยเทเคยฟาดใครรึเปล่า
ซึ่งเราก็ได้ตกลงปลงใจไปกับ OEG Overseas Ed Group และเลือกทำงานสวนน้ำ Noah’s Ark ที่เมือง Wisconsin Dell
.
- ข้อดี ของ Agent นี้คือ ดูแลดี ไม่เทแน่นอน น่าเชื่อถือ ใส่ใจรายละเอียด ตามเราทุกย่างก้าว
- ข้อเสีย คือ เลือกงานยากมาก ยากยิ่งกว่าแย่งกันลงทะเบียนเรียนอีก
.
ก่อนวันเดินทาง
ก่อนจะถึงวันเดินทางไป Work & Travel ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่สำคัญเลยคือการทำ VISA ประเภท J1 เป็น VISA ระยะสั้นสำหรับโครงการแลกเปลี่ยนต่างๆ เรื่องเอกสารต่างๆ ทาง Agent จะแจ้งรายละเอียดและมีวันนัดหมายวันสัมภาษณ์ ซึ่งvisaก็ผ่านได้อย่างสบายๆ ไม่มีปัญหาใดๆ คำถามตอนสัมภาษณ์ก็มักจะไม่ยากอะไรเช่น ถามว่าไปทำงานอะไร เมืองไหน สิทธิของเรามีอะไรบ้าง กลับเมื่อไหร่ กลับมาแล้วจะทำอะไร
เราเลือกทำ VISA ก่อนที่จะจองตั๋วเครื่องบิน เพราะกังวลเผื่อ VISA ไม่ผ่านค่ะ แต่เมื่อ VISA ผ่านแล้ว พร้อมแล้วก็เตรียมหาตั๋วเครื่องบินกันต่อ
ซึ่งตั๋วเครื่องบินเราก็เลือกจองกับ DD Plus Aviation เพราะดูราคาที่ได้มาแล้วเท่ากับราคาที่นั่งหาเองเลย มีปัญหาอะไรพี่เค้าก็ช่วยได้ จะเลื่อนตั๋วก็ถามได้ เปลี่ยนรูทไปมาพี่เค้าก็ไม่ว่าเลย บริการดีสุดๆถูกใจ ตั๋วเครื่องบินเราได้มาในราคา 38,000 บาท ใครเตรียมตัวก่อน หาราคาถูกกว่านี้ได้แน่นอน แต่เนื่องจากเราจองกระชั้นชิด + ขึ้นลงต่างสนามบินและขากลับแวะที่ญี่ปุ่น 1 อาทิตย์เลยได้มาในราคานี้
.
3 สิ่งที่ควรเตรียมพร้อมก่อนเดินทางเดินทางไป Work & travel
1. ซิมการ์ดแบบไหนที่คู่ควร (Sim Card)
– ช่วงแรกที่ไป
เราซื้อซิมของ AIS Sim2FLY จากไทยไปใช้ที่อเมริกา เนื่องจากถึงช่วงบ่ายไม่อยากวุ่นวายเสียเวลาหาที่ซื้อ ราคาอยู่ที่ 899 บาท ใช้อินเทอร์เน็ตด้วยความเร็วสูงสุดที่ปริมาณ 4GB หลังใช้งานครบ ความเร็วสูงสุดจะอยู่ที่ 128 Kbps ซิมใช้ได้เป็นเวลา 15 วันนับแต่ตอนเปิดใช้
ซื้อได้ที่ AIS online store หรือ AIS Shop ทุกสาขาและต้องลงทะเบียนซิมก่อนเปิดใช้ แนะนำไปซื้อที่ Shop เค้าทำให้เสร็จ อย่าลืมเอาบัตรประชาชนไปด้วยน้า
หลังจากลองได้ใช้งานจริง อินเตอร์เน็ตเร็วใช้ได้ไม่มีปัญหา แต่ตอนเปิด Google maps นำทางบางช่วงมันช้า ก็ใช้วิธีถามทางให้แน่ใจ แต่ยังถือว่าใช้นำทางได้อยู่ ส่วนเล่นเฟส, เล่นไลน์เบาๆก็ลื่นอยู่แล้ว ถ้าจะโทรก็ต้องเสียเงินเพิ่มนะ ส่วนตัวเราไม่มีความจำเป็นต้องโทรอยู่แล้ว เพราะตอนเรียก Taxi ให้โรงแรมหรือคนในพื้นที่ช่วยโทรได้
.
– เมื่อถึงอเมริกาแล้ว
หลายๆคนอาจมองหาาซิมของอเมริกาที่สามารถใช้โทร ใช้ติดต่อเพื่อน หรือเล่นอินเตอร์เน็ต ซึ่งโทรศัพท์ส่วนมากของไทยใช้ระบบ GSM ระบบนี้จะมีค่ายใหญ่ๆอย่าง AT&T กับ T-Mobile ที่คนไทยใช้กันค่อนข้างเยอะ (มีริวิวกันเยอะแล้วลองหาดูได้) ทั้งสองตัวนี้จะมีการคิดราคาซิมอยู่ที่ 10 – 25$ + ค่า Plan ที่เราจะใช้และค่าภาษี ใช้น้อยใช้เยอะก็จ่ายตามราคาไป ส่วนมากเพื่อนๆเราใช้เดือนละ 45$ เป็น 4G Unlimited สามารถหาซื้อได้ง่ายตามร้านสะดวกซื้อทั่วไปหรือที่อื่นๆ อินเตอร์เน็ตค่อนข้างเร็วใช้ได้ ไม่มีปัญหาใดๆ
บางคนอาจเห็น Straight Talk เป็น Plan หาซื้อง่าย ราคาที่เห็นใช้กันเยอะจะอยู่ที่ 45$ ต่อเดือน + ซิม + ภาษี ซื้อได้จาก Wallmart เป็นแบบกระดาษแข็งบอกราคา Plan การใช้งานไม่มีปัญหาใดๆและอินเตอร์เน็ตเร็วเช่นกัน
ส่วนอีกตัวเป็นซิมที่เราใช้ อยากแนะนำเพราะคนไม่ค่อยรู้จัก มีราคาสำหรับคนต้องการประหยัด!! ที่ไม่ใช้เยอะ, ที่พักมี Wi-fi ให้เล่น รอซิมมาส่งที่ที่พักได้ เห็นว่าส่งมาไทยก็ได้นะ เป็นซิมสำหรับ J1 โดยเฉพาะ จุดเด่นของเจ้านี้คือ *ซิมฟรี* ไม่มีค่าใช้จ่ายจ้ะ ** สามารถสั่งซื้อได้จาก >> https://j1simcards.com
สั่งฟรี ส่งฟรี จ่ายตอน Active เท่านั้นค่ะ
มี 2 Plan ให้เลือก
1. 25$/เดือน ใช้ 4G ได้ 2GB หลังจากนั้น 128 kbps
2. 45$/เดือน เป็น Unlimited 4G
* ทั้งสองแพลนโทรและ SMS ได้ในอเมริกาไม่จำกัด
* ถ้าใช้แค่ 1 เดือนจะโดนคิดเพิ่ม10$
* เพิ่ม 2$ ได้โทรต่างประเทศไม่อั้น
จากที่ใช้มา 6 รัฐ ไม่มีปัญหาใดๆและอินเตอร์เน็ตเร็ว เราเหมือนจะไม่โดนเสียภาษีเพิ่ม อาจเพราะใช้แค่เดือนเดียวรึเปล่าก็ไม่แน่ใจ
รอซิมหลังจากสั่งประมาณ 3-7 วัน พอได้ซิมเสร็จแล้ว ให้เข้าไปกด Activate ซิมในเว็ปเดิม ง่ายมาก ใส่ชื่อ เลือก Plan ที่ต้องการ เลือกวันที่ต้องการเริ่มใช้บริการ แล้วก็กดจ่ายเงิน เสร็จแล้วรอ SMS ใช้งานได้เลย เราใช้แค่แบบ 25$ เดือนเดียวเฉพาะช่วงเที่ยว เพราะทำงานเอาโทรศัพท์ไปไม่ได้ ที่พักก็มี Wi-fi เมืองเล็กๆไปไหนไปพร้อมเพื่อน
ลองใช้กับ Google maps ก็นำทางได้ตลอดไม่ติดขัด จนวันกลับความเร็วก็ยังไม่หมด ใช้แค่ตอนนำทางกับเล่นไลน์ อยู่ห้องใช้ Wi-fi ของโรงแรมตลอด มีช่วงช้านิดหน่อยแต่เช็คกับของเพื่อนที่เป็นเครือข่ายอื่นของเพื่อนก็ช้า เป็นอีกหนึ่งทางเลือกเนอะ สำหรับคนประหยัดเอาไว้ไปเที่ยวจ้า ?
.
2. กระเป๋าเดินทางนะ ไม่ใช่กระเป๋าโดเรม่อน (Luggage)
การจัดกระเป๋า ขึ้นอยู่กับความต้องการส่วนบุคคล สำหรับคนที่แวะเที่ยวขากลับ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี ลากกระเป๋าใบใหญ่สองใบคงไม่สนุกใช่ม้าาา แล้วสำหรับคนที่เที่ยวอเมริกาหลายๆรัฐ กระเป๋าเยอะก็ลำบากมากๆเช่นกัน แนะนำงอกกระเป๋าวันสุดท้ายของการเดินทางเลย เพราะรถเมล์ รถไฟฟ้า เอากระเป๋าขึ้นไปก็ไม่สบายหรอก แต่ใคร Road Trip หรือพอมีเงินนั่งTaxi ก็ตามสะดวกกันเลย
สำหรับตัวเราเอง ด้วยความที่เที่ยวหลายรัฐแบบใช้รถสาธารณะ แถมยังแวะญี่ปุ่นอีกด้วย เราใช้กระเป๋าเพียงแค่ 24″ และ Carry on ใบที่สามารถวางบนกระเป๋าลากได้ + กระเป๋าเป้สะพายหลังใส่ของเบาๆจ้า ถามว่าทำไมเอาไปใบเล็กได้ ของข้างในก็มีแค่…
ครึ่งนึงของกระเป๋ามีมาม่า/ ข้าว Roza/ กราโนลา/ มาม่าเกาหลี/ ผัดหมี่โคราช 555/ อาหารสำเร็จรูปปุ้มปุ้ย(อร่อยดีนะ ถึงเครื่องสุดแล้ว)/ โจ๊กซอง/ ผงทำกับข้าว/ พริกไทย (ที่นู่นไม่หอมเท่าบ้านเราอะ)/ น้ำจิ้มสุกี้ (เอาไปก็ไม่ค่อยกิน) ทาคูมิ ดีงามมากๆ
แต่ที่นู่นมีเครื่องปรุงราคาพอๆกับบ้านเรา คิคโคแมนงี้ แล้วก็ยี่ห้ออื่นๆ ที่เอาของกินไปเยอะเพราะรู้ตัวเองว่าต้องประหยัด สำหรับใครที่ไม่ติดอาหารไทยหรือไม่ต้องการประหยัด ของกินไม่ต้องเอาไปเยอะแบบเราก็ได้ มาม่าถูกๆที่นู่นก็มีแต่เราชอบมาม่าไทยไง 55555
ส่วนอีกครึ่งที่เหลือของกระเป๋า เอาใส่เสื้อผ้าไปแค่ 3-5 ตัวเท่านั้น ที่ทำงานมีชุดยูนิฟอร์ม ทำงาน 4 – 6 วัน แล้วเสื้อไปเที่ยวยังไงก็มีซื้อบ้างอยู่แล้ว เพื่อนเราเอาไปเยอะมาก!! สุดท้ายต้องทิ้งออกไปเยอะเพราะซื้อเพิ่มเพียบ
ปลอกหมอนเอาไป 2 ใบ เผื่อเปลี่ยน ชุดเครื่องนอนที่พักมีให้หมด, ยาต่างๆ หนังยางรัดกับข้าวนิดหน่อย ไม้แขวนเสื้อเพราะที่นั่นมีให้แค่ 3 อันกะใช้แล้วทิ้งได้เลย สลิปเปอร์ที่เอาไปก็ไม่ใช้ หัวแปลงไฟไม่ได้ใช้ เอกสารที่จำเป็น แล้วก็ของเล็กน้อยของจำเป็นอื่นๆตามแต่ใครต้องใช้เนอะ
เราแนะนำใช้กระเป๋าใบเดียว ขนาด 28″ ขึ้นไป เพราะถ้ามีสองใบค่อนข้างลำบากจริงๆ ส่วนการงอกกระเป๋า พยายามงอกตอนสุดท้าย กระเป๋าเราเล็กก็จริงแต่ก็ใส่กระเป๋าของฝากได้ 6-7 ใบ เอาเสื้อผ้ายัดในกระเป๋าเพื่อไม่ให้เสียทรงแถมประหยัดเนื้อที่ ใส่รองเท้าได้อีก 3 คู่ แล้วก็อื่นๆอีกพอประมาณ
3. จองที่พักระหว่างแวะในเมืองใหญ่ก่อนไปทำงาน หรือตอนไปเที่ยว เน้นความคุ้มค่า (Hotel)
การจองที่พัก ให้ดูที่พักที่สามารถยกเลิกการจองได้เพราะอาจมีเหตุสุดวิสัยเกิดขึ้นได้เสมอ หากเจอราคาที่ถูกกว่าก็ยังยกเลิกและเปลี่ยนที่พักได้ ระยะเวลาการจองให้เราจองแต่เนิ่นๆ จะมีที่พักที่ถูกและดีเหลืออยู่ มีตัวเลือกให้เรามากกว่า ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับสถานการณ์ด้วย หลายคนอยากได้ที่พักดีๆ ก็ต้องขึ้นอยู่กับ Budget ถ้าอยากได้ถูกมากๆ แต่อยู่สบายมากมันก็หาลำบากจริงๆ แต่ไม่ใช่ว่าหาไม่ได้ ราคาโรงแรมจะไม่แน่นอน มีช่วงถูก-แพง ช่วงที่เราหาจอง จำนวนคน ต้องลองหาหลายๆที่และเปรียบเทียบกัน ส่วน Hostel คิดราคาเป็นเตียง/คืน คนจะไปเยอะไปน้อยก็ราคาเท่าเดิม แนะนำให้เปรียบเทียบกับโรงแรมก่อน เลือกที่พักทำเลดีก็เหมือนประหยัดค่ารถไปในตัว ไม่ต้องเสียหลายต่อ ไม่ต้องเสียเวลา ประหยัดแรงได้อีกด้วย
.
– Chicago : แนะนำให้เลือกนอนใกล้สถานี cta และที่เที่ยว จะทำให้เดินทางสะดวก
ขาไปเรานอนละแวกตึก Trump ชื่อโรงแรม “Hampton inn” เป็นห้องสำหรับ 4 คน แต่นอนแค่ 3 คน ราคาคนละ 1,200฿/คืน โรงแรมมีอาหารเช้าดีมากๆ มีนม, คอนเฟลก, แพนเค้ก มีเยอะมากสไตล์ American Breakfast หาเจอจากการ Search หาที่พักแถว Chicago Bean
ส่วนขากลับเราให้เพื่อนเราจอง Hostel ไปกัน 9 คน เสียไป 46$ หรือประมาณ 1,500฿/คน/คืน เป็นห้องสำหรับ 5 คน กับ 4 คน อยู่แถวๆสถานี cta Damen เดินไกลกว่าจะถึงที่พัก แถมต้องยกกระเป๋าไปชั้น 2 ขึ้นบันไดสูงมาก!!
ก่อนจองจึงต้องดูรีวิวดูข้อมูลให้ดี ที่เลือกที่นี่เพราะถูกและจองช้าด้วยไม่มีตัวเลือกมาก
.
– Las Vegas : แนะนำให้เลือกหานอนตรงถนน Strips ถนนที่เรียงรายโรงแรมเอาไว้เล่น casino
เรานอน “Motel 8 Las Vegas” ตรงข้าม Mandalay Bay ไปกัน 7 คนเลยเลือกนอนห้องสำหรับ 4 คนสองห้อง ค่าโรงแรม 27$ หรือเฉลี่ย 880฿/คน/คืน นอนแบบ.. ไม่อยากจะพูดว่ามีไว้แค่นอน ห้องน้ำเก่าตัวห้องเก่า มีกลิ่นพรมบ้าง แต่เตียงดีห้องกว้าง มันเป็นห้องไพรเวท เดินทางสะดวก
ก่อนนอนต้องแวะเล่นที่ Mandalay Bay ทุกคืน สำหรับเราจึงถือว่าโอเคเพราะราคาถูกมาก ตอนเจอแว้บแรกนึกถึงหนังฝรั่งที่มีมาเฟียจีนสู้กันอ่ะแล้วเป็นที่พักแบบมาหลบตอนบาดเจ็บ 5555 สรุปแล้วที่ Las Vegas นอนที่ไหนก็ได้ในถนน Strips มีรถ Bus วิ่งตลอดทั้งสายเลยสะดวกมากๆ
.
3. Los Angeles : แนะนำให้พักละแวก Hollywood เพราะถ้านอนใน Downtown อันตราย Homeless เยอะ ดูน่ากลัว ~0~
เรานอนพักที่ “Hollywood Celebrity Suite” เป็น Condo เปิดให้เช่ารายวัน ค่าที่พัก 39$ หรือเฉลี่ย 1,270฿ /คน/คืน ได้ที่พักนี้มาคือโชคดีมาก มีครัว อุปกรณ์ครบ มีเครื่องซัก อบ ผ้า และพื้นที่กว้างขวางมากๆ พักกัน 7 คน ที่ยังเหลือๆ มีห้องนั่งเล่น ชอบมาก ดีที่สุดที่ได้พักมา ถ้ามากันน้อยคนคงไม่ได้แบบนี้
.
4. San Francisco
แนะนำให้เลือกแถว Union Square โลดดด ! เพราะเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่งอัน เป็นดง Shopping ดงที่ต่อรถสาธารณะกระจายไปทั่ว ข้อเสีย คือคนเยอะไปหน่อยหลายคนบอกว่าอันตราย แต่มีเพื่อนเราไปอีกดงนึงเงียบๆ แล้ว Homeless ทั้งถนน ต้องเดินผ่านเพื่อไปส่งเพื่อนน่ากลัวมากกว่าอีก อีกอย่างที่นี่มีถนนมีซอยที่ควรระวังและน่ากลัว มีคนท้องถิ่นบอกไว้ว่าอย่าเดินไป คือซอยที่เลย San Francisco International Hostel ไปนิดนึงที่เป็น Hostel ถัดจาก Hi San Francisco เพราะงั้นการเลือกที่พักก็ต้องดูย่านดีๆ ที่พักที่นี่ราคาสูงมากๆแทบทุกที่ ใครจะจองก็ต้องทำใจเพราะราคาค่อนข้างสูงแถมยังได้ที่พักแบบไม่ได้ดีเท่าไหร่ด้วยเพราะเมืองนี้ค่าครองชีพสูงจริงจัง
เราพักที่ “San Francisco International Hostel” ราคา 47$ หรือเฉลี่ย 1,530฿/คน/คืน ที่พักก็พอนอนได้ ที่นอนเป็นเตียงสองชั้นดูบอบบาง ไม่มีแอร์แต่หนาวต้องนอนห่มผ้า ห้องแคบ แทบจะไม่มีที่วางกระเป๋า Staff น่ารักมาก เราไม่มีเศษเงินกดน้ำในตู้เค้าก็ให้มาเลย มีบริการรถตู้ไปถึงสนามบิน คุ้มตรงไม่ต้องลากกระเป๋าเอง มีอีกที่พักแนะนำคือ “Hi San Francisco” ห้องดีเตียงดีไม่บอบบาง สะอาดสะอ้าน ทุกอย่างดีแต่แพงกว่าแค่นั้นเอง
.
– New York
มีบ้านคนไทยให้เลือกพักในราคาถูกสำหรับคนไทยเท่านั้น เราเหลือ 3 คน ได้ที่พักบ้านคนไทยมาคนละ 30$ หรือเฉลี่ย 975B/คน/คืน ที่พักคนไทยที่นิวยอคมีเยอะแยะมาก ลองหาดูกันได้ ราคาพอๆกันเลย
.
สำหรับใครที่จะจองที่พักผ่าน Booking.com สมัครผ่าน Link นี้ ได้เงินคืน 550 บาทหลังไปเข้าพักครั้งแรกน้า >>> https://booking.com/s/38_6/jeraon40
.
บินไป America กันเถอะ
เราเดินทางจาก กรุงเทพ (BKK) – ชิคาโก (ORD) ไปกับสายการบิน American Airlines ก่อนเดินทางอ่านรีวิวรัวๆเลย มีทั้งดีบ้างแย่บ้าง แต่จากการเดินทางมาแล้ว รู้สึกโอเคมากกกก สมราคา อาหารอร่อย กิน..กิน..กิน..ตลอดดเวลา ไม่มีรู้สึกหิวเลย
จากสนามบินสุวรรณภูมิไปต่อเครื่องที่สนามบินนาริตะ เราได้นั่ง Japan Airline ภายใต้ American Airline ที่นั่งสบาย กว้าง ยืดขาได้
แล้วจากสนามบินนาริตะไปยังสนามบินโอแฮร์ เราได้นั่ง American Airline ที่นั่งแคบกว่า Japan Airline นิดหน่อยเพราะมีที่นั่งเยอะกว่า ใครตัวสูงอาจยืดขาลำบาก แต่คนตัวเล็กๆแบบเราก็ยังคงยืดขาได้สบาย 5555555
เวลาไปของก็อป ไม่ว่าเกรด เอ บี ซี อย่าไปใส่ไปนา มีเพื่อนโดนตรวจ พลิกซ้ายพลิกขวา ดีนะของแท้ 55555555 /ขำหน้าซีดเลย พอถึงอเมริกาเจอ ตม. ก็ไม่ถามอะไรมาก สบายๆ ถามแค่มาทำอะไร ทำงานที่ไหน ตำแหน่งอะไร แล้วก็ให้ผ่าน
ส่วน Pocket money ให้พกมาไม่ต่ำกว่า 30k นะคะ เห็นหลายคนสงสัย มีไว้อุ่นใจค่ะ
.
ถึงอเมริกาแล้ว..วิธีไปรัฐเล็กๆที่อเมริกา
การเดินทางไปที่ทำงานแต่ละคน หลายที่ทำงานมักจะอยู่ในรัฐเล็กๆ การเดินทางลงสนามบินใหญ่ในอเมริกาแล้วต่อรถไฟหรือรถบัสอาจถูกกว่านั่งเครื่องไปลงรัฐของที่ทำงานนั้นเลย ก่อนไปลองเปรียบเทียบราคาของรัฐที่ตัวเองอยู่ดู
บินไปอเมริกา ใช้เวลาบินร่วมเกือบ 20 ชั่วโมง!! และแล้วเราก็ถึง…แต่ไม่สุด เพราะปลายทางเรายังต้องหาวิธีไปรัฐ Wisconsin Dell เมืองที่เราจะทำทำงานนั่นเอง
โดยการเดินทางนั้นเราจะมาแนะนำวิธีการเดินทางไปยังเมืองหรือรัฐอื่นโดย รถไฟ “Amtrak” คือรถไฟวิ่งผ่านหลายรัฐในอเมริกา
วิธีจอง Amtrak เข้าเว็ปไซต์นี้เลย > Amtrak Tickets ยิ่งจองเร็วจะยิ่งถูก จองจากที่ไทยใช้บัตรเดบิตของไทยได้เลย ใครข้อเข่าไม่เสื่อมแนะนำนั่ง upper นะฮะ วิวดี วิวงาม ที่นั่งสบาย นิ่มมากๆ ส่วน lower จะติดห้องน้ำ ที่นั่งในรถไฟสบายกว่าบนเครื่องบินอีกค่าาา ?
สถานี Amtrak ของที่ชิคาโก จะอยู่ที่ Union Station ใน ชิคาโก (Chicago)
วิธีไป: เริ่มต้นนั่งรถไฟสายสีฟ้าไปลงสถานี Clinton แล้วก็เดินตามกูเกิลแมปส์อีกประมาณ 8 นาทีถึงจะถึง Union station
ย้ำแล้วนะ !! ว่าเอากระเป๋ามากันใบเดียวเถอะ !!! พื้นลากยากมาก!! ลากมาแล้วแถมต้องยกขึ้นบันไดด้วย
Amtrak อนุญาตให้เอากระเป๋าCarry onขึ้นฟรี: 12กิโล 2ใบ ขนาด 14x11x7นิ้ว กับ 23กิโล 2 ใบ ขนาด 28x22x14นิ้ว และยังสามารถโหลดกระเป๋าฟรี2ใบ น้ำหนัก 23 กิโล ขนาด 75 linear inches(กว้างxยาวxสูง) มากกว่านั้นต้องเสียตังโหลด20$นาจา
ได้นั่งรถไฟสักพักรถไฟก็ออก พอใกล้จะถึงที่ต่างๆเจ้าหน้าที่ก็จะประกาศบอก ฟังง่ายเพราะเป็นชื่อสถานที่ป้ายที่ชานชลา เย้ ?ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ
ตู้ทานอาหารบนรถไฟ สวยมั้ยยย? มองวิวกันไป บนตู้ธรรมดาก็กว้างขวางสบายมาก นอนเอนได้เยอะเลย ที่กว้างมาก แต่ไม่ได้ถ่ายมาเกรงใจคนอื้นน
รีวิวงานสวนสนุกสวนน้ำสไตล์
งานสวนสนุก สวนน้ำ ก็สนุกจริงๆ มีหลายตำแหน่งให้เลือกทำ ส่วนเราทำอยู่ในส่วน Food มีหลายร้านเลยในสวนน้ำของเรา ได้เปลี่ยนร้านไปเรื่อยๆ บางวันขายไอติม บางวันขายพิซซ่า บางวันขายเบอเกอร์ บางวันเป็นแคชเชียร์ คือได้ทำเยอะมากสนุกมาก เพื่อนก็ดี แต่ต้องบอกไว้ก่อนว่าอย่าหวังเรื่องชั่วโมงการทำงาน อันนี้คือเรื่องเศร้าเพราะพวกสวนสนุก สวนน้ำ วันไหนอากาศไม่ดี ไล่กลับบ้านหมด ได้เงินน้อย เบี้ยน้อยหอยน้อย ต้องอยู่กันอย่างประหยัด ยิ่งถ้าเมืองไหนไม่มีงาน2แบบเราแล้ว แล้วชั่วโมงน้อยแบบนี้ คือทรหดมาก เกือบไม่มีเงินไปเที่ยวแล้วแหนะ
วิถีชีวิตใน Wisconsin Dells 3 เดือนที่น่าจดจำ
มาถึงแล้วจ้า “Wisconsin Dells” นั่งเพลินๆ จากชิคาโก ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง แดดและอากาศดีมากๆเลย
ภายในสถานีรถไฟ ดูเก่าแก่ คลาสสิคดี
Taxi ที่นี่ค่ะ ที่นี่ไม่มีรถสาธารณะ ต้องเหมาTaxiขั้นต่ำ7$ วิธีเรียกคือต้องโทรเอาอย่างเดียวไม่มีโบกข้างทาง ถ้าคนเยอะของเยอะก็จะได้Taxiคันใหญ่หน่อย
เส้นทางไปยังที่พัก ที่พักราคา45$ต่ออาทิตย์ ที่ถูกเพราะที่ทำงานจ่ายให้เกือบครึ่งแหนะ
วันไหนมีงานที่ที่พักก็ได้กินของฟรี ดี๊ดี S’moresอร่อยมาก
บรรยากาศเหงาๆงามค่ำคืน ยิ่งวันไหนได้ชั่วโมงงานน้อยยิ่งเหงา
ว่างๆก็เหมาแท็กซี่ออกมา ซื้อเสบียงตุนไว้ค่ะ ขอบอกว่าที่นี่ไอติมทั้งถูกทั้งอร่อย
ออกมาหาอะไรกินบ้าง KFC ที่นี่เจ๋งสุดๆเลย ซอสฟรีหยิบกลับบ้านไปเพียบ55555
เงินเข้าปุ้บ ก็ออกมาช็อปปิ้งที่ Outlet จ้า เช้าเศรษฐีเย็นยาจก
ปั่นจักรยานมานั่งเล่นที่สวนสาธารณะ อู้หูว ได้ฟีลอเมริกันของแท้
ในเมืองเหมาTaxiก็แพง ซื้อจักรยานมืองสองปั่นไปไหนมาไหนก็คุ้มและสะดวกกว่าในบางครั้ง แถมก่อนกลับเอาไปขายได้เงินคืนมาอีก5$ด้วยแหละ
Day off ก็ออกมาเที่ยวชิวๆ Dells จะมีบัตรเหมาเข้าที่เที่ยวราคา15$ เข้าได้หลายที่เลย สนุกและคุ้มสุดๆ
วันไหนๆเป็นวันสำคัญก็จะมีแสดงโชว์ในตัวเมือง ตื่นตาตื่นใจมาก
บรรยากาศดีมากๆ ฟ้าสวย มองอะไรก็เข้าธีม
ร้านช็อปปิ้งเสื้อผ้า เมืองไหนมีหลายร้านก็เดินเพลินๆอะ
เข้าสวนสัตว์ก็ตื่นเต้น เจอสัตว์แปลกๆเยอะเลย
วันหยุดออกมาเดินเล่นใกล้ๆก็บรรยากาศดี Wisconsin Dells เมืองแห่งสวนน้ำ มีแต่สวนน้ำทั้งเมือง
ไอติมอร่อยมาก แดรี่ควีนดีกว่าที่ไทยมากๆ ต้องลอง
นอกจาก Wisconsin Dells จะเป็นเมืองแห่งสวนน้ำแล้ว เมืองนี้ยังโด่งดังเรื่องชีส เพราะฉะนั้นห้ามพลาดผลิตภัณฑ์ที่ทำจากชีส เช่น ชีสเคิร์ท อร่อยมากกกกShakeก็อร่อย ส่วนมากที่อเมริกามักจะทานเนื้อกัน ถ้าเบอเกอร์ไม่ระบุว่าทำมาจากอะไรคือทำมาจากเนื้อวัวเจ้าค่าถ้าเข้าร้านอาหารที่อเมริกา ขอบอกว่าแพงกว่าทำทานเองเยอะ และอย่าลืมให้ทิปส์พนักงานทุกครั้งด้วยนะคะ ยกเว้นร้านFast food หรือ Take home ไม่ให้ก็ยังพอได้ค่า
ถ้ามีโอกาส อย่าพลาดไอติม Dippin dots นะคะ ลองแล้วจะรักเลย
เที่ยว Madison ฟรีกับองค์กร Spirit
Agent ทางฝั่งอเมริกาที่ดูแลเราคือ Spirit เป็น Agent ที่ดูแลเด็กๆดีเลยแหละ แถมวันดีคืนดี มีพาไปเที่ยวเมืองใกล้ๆฟรีด้วยยยย และเมืองที่เราได้ไปคือMadisonนั่นเอง
ภายในช่างงดงาม ตระการตา สวยเกินบรรยาย
ด้านบนมองเห็นวิวแม่น้ำด้วย
University of wisconsin madison
มหาวิทยาลัยที่บรรยากาศดีมาก โรแมนติกมากๆ น่ามาเรียนสุดๆ แต่ค่าเทอมแพงเอาการ
เดินชมเมือง Madison
เมืองอะไรทั้งสวยทั้งบรรยากาศดี อยากมาเที่ยวอีกจริงๆ
จบแล้ว สำหรับทริคการเตรียมตัวไป work & travel เล็กๆน้อยๆ อย่าลืมติดตามตอนอื่นได้ในเว็ปของเรา : https://kalokkokgrace.com/
ถ้าชอบฝากติดตามด้วยนะ มีเรื่องอัพเดทจะได้ไม่พลาดกันนะ
ขอบคุณทุกคนค่าาาา <3
Follow Me :
on Facebook Kalokkokgrace
on YouTube Kalokokgrace
on IG @kalokkokgrace